คำแนะนำในการสอดสายให้อาหารผ่านทางจมูกในสุนัข
การให้อาหารสุนัขป่วยโดยใช้สายให้อาหารสอดผ่านทางจมูก (intra-nasal tube) นั้นเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพสูง โดยสามารถใช้เป็นตัวช่วยในสถานการณ์ทางคลินิกได้หลากหลายและมักเป็นปัจจัยชี้ขาดในการสร้างผลลัพธ์เชิงบวก บทความนี้ Joris Robben และ Chiara Valtolina จะเน้นไปที่การปฏิบัติเพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด
Article
ประเด็นสำคัญ
สายให้อาหารผ่านทางจมูก (nasal feeding tubes) นั้นสามารถทำหัตถการสอดผ่านทางจมูกได้ง่าย เป็นการให้อาหารผ่านระบบทางเดินอาหารระยะสั้น (short-term enteral feeding) ในสุนัขที่ไม่มีความอยากอาหารหรือไม่สามารถกินอาหารเองได้
สามารถให้อาหารทางสายที่ผ่านจมูกสู่หลอดอาหาร (nasoesophageal tubes) หรือสายที่ผ่านจมูกสู่กระเพาะอาหาร (nasogastric tubes) ได้ทั้งคู่ ซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป
สำคัญอย่างมากที่จะต้องแน่ใจว่าสายให้อาหารนั้นอยู่ในตำแหน่งและมีช่วงเวลาการใช้งานที่เหมาะสม
แนวทางการดูแลรักษาสายให้อาหารอย่างง่ายจะช่วยลดปัญหาขณะใช้งานสายให้อาหาร
บทนำ
สายให้อาหารนั้นเป็นหัตถการที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายในทางสัตวแพทย์สัตว์เล็ก (small animal practice) และยังเหมาะสมกับสถานการณ์ทางคลินิกได้หลากหลาย สายให้อาหารนั้นสามารถใช้ได้เป็นระยะเวลาสั้นๆ (1-7 วัน) โดยจะช่วยให้อาหารผ่านเข้าระบบทางเดินอาหารเพื่อให้สัตว์ป่วยที่อยู่ในระยะพักฟื้นฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีอาหารเหลวเท่านั้นที่จะสามารถผ่านสายให้อาหารได้เพราะว่าสายนั้นมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่จำกัดตามเส้นผ่านศูนย์กลางของ ventral meatus ของสัตว์ป่วยอีกทีก็ตาม
การสอดสายให้อาหารผ่านทางจมูกนั้นรวดเร็วกว่าและปลอดภัยกว่าการสอดสายทางหลอดอาหาร (esophageal tube) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่สัตว์ป่วยไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมวางยาสลบหรือกรณีที่การผ่าตัดอาจทำให้เกิดภาวะเลือดออกมากเกินไป (excessive bleeding) เช่น มีภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (coagulopathy) สายให้อาหารจะช่วยให้สัตวแพทย์ตรวจสอบได้ว่าทางเดินอาหารของสัตว์ป่วยที่มีภาวะเบื่ออาหารสามารถทนต่อการให้อาหารผ่านทางเดินอาหารหรือไม่ อีกทั้งเพื่อให้ทราบปัจจัยที่ส่งผลต่อการกินอาหารที่เหมาะสม (เช่น ปริมาณอาหาร องค์ประกอบของอาหาร และการให้อาหารแบบต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ (continuous rate infusion; CRI) หรือการให้อาหารเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆ (bolus feeding) วิธีใดดีกว่ากัน
วัสดุ
มีหลายปัจจัยที่ต้องตระหนักเมื่อต้องเลือกใช้สายให้อาหารที่เหมาะสม (ตารางที่ 1) ซึ่งสัตวแพทย์ควรเลือกใช้สายให้อาหารที่มีความเหมาะสมต่อสัตว์ป่วยมากที่สุด มีอุปกรณ์อื่นที่จำเป็นสำหรับการสอดสายให้อาหารโดยเป็นอุปกรณ์พื้นฐานซึ่งจะแสดงในรูปภาพที่ 1
| ขนาด (size) | 4-12 Fr; 6, 8 หรือ 10 Fr นิยมใช้มากที่สุดในสุนัข |
| ความยาว (length) | 50-100 ซม. ขึ้นกับขนาดตัวของสุนัข แต่สายควรมีความยาวเพียงพอที่จะให้จุดเชื่อมต่อ (access port) สามารถยึดติดไว้กับคอสุนัขได้ ทั้งนี้หากมีความจำเป็นสามารถใช้สายต่อ (extension tube) ได้ |
| วัสดุ (material) | ผนังของสายจำเป็นที่จะต้องบางเพื่อให้รูท่อมีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่สายก็จำเป็นที่จะต้องยืดหยุ่นมากพอที่จะลดความเสี่ยงที่จะงอด้วย โดยเฉพาะในตำแหน่งที่สายต้องโค้งงอเมื่อออกจากจมูก ตัวเลือกของวัสดุจะได้แก่
|
| จุดเชื่อมต่อ (access ports) | มีจุดเชื่อมต่อประเภทต่างๆดังนี้
|
| ปลายสาย (tube tip) | ถึงแม้ว่าสายให้อาหารจะมีรูเปิดด้านข้าง แต่ปลายเปิดของสาย (open-ended tube) จะมีประโยชน์ช่วยลดความเสี่ยงในการอุดตัน ปลายเปิดของสายให้อาหารยังช่วยให้สามารถฟลัชล้างทำความสะอาดได้ง่ายในกรณีที่เกิดการอุดตันขึ้น |
ตารางที่ 1 ตัวเลือกของสายให้อาหาร
ตำแหน่งของสายยางให้อาหาร (positioning the feeding tube)
มี 2 ทางเลือกสำหรับการสอดสายให้อาหาร
• สายให้อาหารที่ผ่านจมูกสู่หลอดอาหาร (nasoesophageal tube) นั้นปลายสายจะอยู่ที่หลอดอาหารที่ระดับช่องระหว่างกระดูกซี่โครงที่ 9 (9th intercostal space) วิธีนี้มีข้อดีตรงที่สามารถลดการเกิดกรดไหลย้อน (gastric reflux) และลดโอกาสการเกิดหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน (reflux esophagitis) หรือหลอดอาหารตีบ (esophageal stricture) ได้ อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการที่จะสำลักอาหารเข้าสู่ปอดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์ป่วยที่อยู่ในท่านอนตะแคงข้าง (lateral recumbency)
• สายให้อาหารที่ผ่านจมูกสู่กระเพาะอาหาร (nasogastric tube) ปลายสายจะอยู่ที่กระเพาะอาหารที่ด้านหลังของซี่โครงซี่สุดท้าย (caudal of the last rib) วิธีนี้จะช่วยให้สัตวแพทย์ตรวจสอบได้ว่ายังมีอาหารคงเหลืออยู่ในกระเพาะอาหารก่อนจะให้อาหารมื้อถัดไปหรือไม่ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการสำลักอาหารในสัตว์ป่วยที่อยู่ในท่านอนตะแคงข้างได้ด้วย อย่างไรก็ตามสายให้อาหารที่ผ่านจมูกสู่กระเพาะอาหารจะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดกรดไหลย้อนและหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อนอันเป็นผลมาจากการรบกวนการทำงานของหูรูดกระเพาะอาหารส่วนบน (cardiac sphincter function)
ข้อดีและข้อเสียของ 2 ทางเลือกที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นจากความรู้ของผู้เขียนพบว่ายังไม่ได้รับการพิจารณาอย่างเหมาะสมในทางสัตวแพทย์และยังไม่มีการแนะนำวิธีการอื่นที่ดีกว่านี้ เพราะฉะนั้นประสบการณ์ส่วนตัว ลักษณะของสัตว์ป่วย และโรคที่เกี่ยวข้องจะเป็นตัวกำหนดทางเลือกของตำแหน่งสายให้อาหาร
การเตรียมตัว
• จำเป็นที่จะต้องวัดและทำสัญลักษณ์บนสายให้อาหารก่อนทำการสอด โดยให้ทำสัญลักษณ์ ณ จุดที่สายให้อาหารเข้าสู่เข้าช่องอก (thoracic inlet) ด้วยปากกากันน้ำ (รูปภาพที่ 2) ถ้าใช้วิธีสอดสายให้อาหารผ่านจมูกสู่หลอดอาหาร สายควรจะยาวไปจนถึงช่องระหว่างซี่โครงที่ 9 แต่สำหรับวิธีสอดสายให้อาหารผ่านจมูกสู่กระเพาะอาหารสายควรยาวไปจนถึงระดับหลังจากซี่โครงซี่สุดท้าย ทั้งนี้ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหนจุดที่สายออกจากจมูกเมื่อปลายสายไปถึงตำแหน่งที่ต้องการแล้วให้ทำสัญลักษณ์ไว้ด้วยเทปพับเป็นรูปปีกผีเสื้อเล็กๆ
- สิ่งที่สำคัญอีกอย่างคือสายให้อาหารต้องมีความยาวที่เพียงพอ หากจำเป็นสามารถใช้สายต่อ (extension) ได้ แต่ส่วนด้านนอกของสายให้อาหารหรือสายต่อควรผ่านปลายจมูกไปที่คอของสุนัขได้โดยไม่ตึงมากเกินไป
- สายให้อาหารสามารถสอดผ่านได้ในขณะที่สัตว์ยังมีสติหรืออยู่ภายใต้การวางยาซึมเพียงเล็กน้อย แต่ไม่ว่ากรณีใดก็จำเป็นที่ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่บริเวณเยื่อโพรงจมูก (nasal mucosa) เช่นเดียวกัน โดยหยด lidocaine 1 หยดเข้าไปในรูจมูกซ้ายและขวา (ถ้าการสอดสายให้อาหารโดยใช้รูจมูกด้านใดด้านนึงนั้นทำได้ยาก สัตวแพทย์สามารถลองอีกด้านได้) รอ 2-5 นาที ก่อนจะทำให้การสอดสายให้อาหาร ทั้งนี้แนะนำให้ใช้ lidocaine ร่วมกับ epinephrine เพราะมีฤทธิ์ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือดเฉพาะที่บริเวณโพรงจมูก
การสอดสายให้อาหาร
• สายให้อาหารควรหล่อลื่นด้วย lidocaine หรือ silicone spray ก่อนจะทำการสอดเข้าทางจมูก สุนัขอาจอยู่ในท่ายืน นั่ง หรือนอนหมอบ (sternal recumbency) โดยจับสุนัขหันหน้าตรงไปทางด้านหน้า ใช้นิ้วโป้งหรือนิ้วอื่นๆดันให้จมูกเอียงขณะค่อยๆสอดปลายสายให้อยู่ชิดกลางและล่างของรูจมูก (medially and ventrally) เพื่อให้สายให้อาหารเข้าไปถึง ventral meatus ของจมูกได้ ทั้งนี้สายให้อาหารควรค่อยๆเลื่อนเข้าไปในจมูกได้โดยไม่มีแรงต้าน (รูปภาพที่ 4)
• ค่อยๆสอดสายให้อาหารเข้าไปในคอหอย (pharynx) แล้วคอยดูสุนัขทำท่ากลืน เมื่อสุนัขเริ่มกลืนสายให้อาหารแล้ว ให้ค่อยๆสอดสายลงไปจนถึงระดับของสัญลักษณ์แรกที่ทำไว้ซึ่งแสดงว่าปลายสายนั้นอยู่ที่ทางเข้าของช่องอก (thoracic inlet) (รูปภาพที่ 5) สัตวแพทย์ต้องสังเกตอาการไอ (coughing) หรืออาการสำลัก (gagging) เพราะอาจจะทำให้มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในหลอดลมโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
• หากมีการใช้ลวดตัวนำ (guidewire) เพื่อทำให้สายให้อาหารมีความแข็งตัว ควรค่อยๆถอนลวดตัวนำออกเมื่อถึงตำแหน่งนี้ (รูปภาพที่ 6) จากนั้นใช้ไซริงก์ 10-20 มล. ตรวจสอบตำแหน่งของสายให้อาหารว่าอยู่ในหลอดอาหารถูกต้องแล้ว (รูปภาพที่ 7a) (รูปภาพที่ 7b) โดยเริ่มจากการใช้ไซริงก์ดูดกลับจะพบว่าเป็นภาวะสุญญากาศ จากนั้นให้ดันอากาศเข้าไปเพื่อตรวจสอบว่าสายให้อาหารนั้นเปิดโล่งและไม่ได้งอเข้าไปในหลอดลม (ดูต่อด้านล่าง)
• ถ้าตำแหน่งของสายให้อาหารถูกต้องแล้วก็สามารถสอดสายให้อาหารเข้าไปต่อจนถึงตำแหน่งที่ต้องการซึ่งก็คือเมื่อเทปที่ทำเป็นรูปผีเสื้อ (butterfly tape) ถึงรูจมูก
การยึดตำแหน่งของสายให้อาหาร
• สายให้อาหารสามารถเย็บติดกับผิวหนังบริเวณจมูกได้ (skin of the muzzle) โดยต้องเย็บให้ใกล้กับด้านใดด้านหนึ่งของบริเวณผิวเรียบปลายจมูกส่วนที่ไม่มีขน (nasal philtrum) ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (รูปภาพที่ 8) โดยสายให้อาหารสามารถสอดผ่าน lateral groove ใต้รูจมูกได้ ที่สำคัญคือต้องไม่งอสายให้อาหารมากเกินไป ให้เหลือพื้นที่ไว้บ้างเพื่อป้องกันการงอ
• การยึดตำแหน่งโดยใช้กาวติดเนื้อเยื่อ (tissue adhesive) นั้นโดยปกติแล้วจะไม่แนะนำ เพราะถึงแม้ว่ากาวติดเนื้อเยื่อนั้นจะใช้ได้ง่ายและสามารถยึดสายให้อาหารได้อย่างแข็งแรง แต่กาวนั้นมีแนวโน้มที่จะกรอบ เปราะจนแตกได้ง่าย และอาจทำให้สายให้อาหารหลุดได้หลังจากยึดตำแหน่งได้เพียงไม่นาน
• จากนั้นจึงวางสายให้อาหารไว้ทางด้านบนของจมูก (over the top of the nose) และระหว่างตาบนหน้าผาก (between eye onto the forehead) ซึ่งสามารถใช้ไหมเย็บตรึงเพื่อยึดสายไว้ได้ อีกวิธีหนึ่งคือสามารถวางสายให้อาหารไว้ที่ด้านข้านของใบหน้า (เหนือหนวด (whiskers) และใต้โหนกแก้ม (zygomatic arch)) แล้วค่อยเย็บตรึงให้เข้าที่
• สุดท้ายคือสามารถติดเทปทับสายให้อาหารบนผ้าพันแผลที่พันรอบคอไว้หลวมๆได้ (รูปภาพที่ 9)
• การใส่ลำโพงกันเลีย (Elizabethan collar) นั้นมีความจำเป็นเพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์ป่วยถอดสายให้อาหารออก แต่การใส่ลำโพงกันเลียก็อาจส่งผลเสียต่อการกินอาหารด้วยตัวสัตว์เอง ทั้งนี้ควรถอดลำโพงกันเลียออกเป็นประจำเพื่อตรวจสอบดูว่าสัตว์ป่วยนั้นต้องการกินอาหารเองหรือไม่
การวางตำแหน่งสายให้อาหารที่ถูกต้อง (correct tube positioning)
สัตวแพทย์ควรตรวจสอบตำแหน่งของสายให้อาหารทั้งระหว่างทำการสอดสายให้อาหารและทุกครั้งก่อนให้อาหารผ่านทางสาย วิธีการตามที่อธิบายไว้ในข้างต้น [1] จะช่วยส่งผลให้วางตำแหน่งสายให้อาหารได้ถูกต้อง แต่ก็ยังมีเคล็ดลับในการวางตำแหน่งสายให้อาหารอีก 2 ข้อ คือ
• หากสุนัขมีการกลืนเมื่อปลายสายอยู่ในช่องจมูกร่วมคอหอย (nasopharynx)/คอหอยร่วมปาก (oropharynx) จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าสายให้อาหารเข้าสู่หลอดอาหาร
• ตรวจสอบที่ด้านซ้ายของคอด้วยสายตาและด้วยตนเองเพื่อตรวจสอบตำแหน่งที่ถูกต้องในขณะที่เคลื่อนสายให้อาหารลงไปที่หลอดอาหาร
เมื่อสอดสายให้อาหารเข้าที่แล้ว ควรตรวจสอบตำแหน่งก่อนให้อาหารในแต่ละครั้งอย่างรอบคอบ โดยสามารถทำได้หลายวิธี
• ตรวจสอบโดยใช้ไซริงก์ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้น อย่างไรก็ตามต้องตระหนักไว้ว่าภาวะหายใจผิดปกติ (dyspnea) หรือภาวะคลื่นไส้ (nausea) สามารถทำให้สัตว์ป่วยกลืนอากาศเข้าไปได้เช่นกัน โดยจะแสดงผลคือการที่สัตว์สำลักอากาศที่อยู่ด้านในไซริงก์แล้วทำให้สัตวแพทย์เข้าใจผิดคิดว่าสายให้อาหารเข้าไปในหลอดลม อย่างไรก็ตามถ้ามีภาวะกลืนอากาศ (aerophagia) เกิดขึ้น ปริมาณอากาศที่ดูดกลับมาได้ควรต้องมีอย่างจำกัด นอกจากนี้หากอากาศสามารถดันผ่านเข้าสายให้อาหารได้อย่างง่ายดายด้วยไซริงก์จะเป็นการช่วยยืนยันว่าสายให้อาหารไม่ได้งอ
• ฟลัชล้างสายให้อาหารด้วยสารละลายอิเล็กโทรไลต์แบบสมดุล (isotonic electrolyte solution) 2-20 มล. (ขึ้นกับขนาดตัวของสุนัข) ในกรณีที่สายให้อาหารเข้าไปในทางเดินหายใจ สุนัขควรจะมีอาการไอ (แต่ต้องจำไว้ว่าสัตว์ที่ป่วยมากๆที่มีความรู้สึกตัวน้อย (reduced consciousness) หรืออยู่ภายใต้ฤทธิ์ยาสลบอาจไม่แสดงอาการไอก็ได้)
• การใช้สายให้อาหารที่ผ่านจมูกเข้าสู่หลอดอาหาร (nasogastric tube) นั้นสามารถเอาอากาศเข้าไปได้ 5-15 มล. สัตวแพทย์อาจจะได้ยินเสียงท้องร้องโครกคราก (borborygmi) เมื่อฟัง (ausculatiating) บริเวณ cranial abdomen
• เว้นแต่จะสามารถมองเห็น/สัมผัสสายให้อาหารได้ภายในหลอดอาหารส่วนต้น (cervical esophagus) ไม่มีเทคนิคใดใดในข้างต้นที่จะไม่มีความผิดพลาด ดังนั้นในกรณีสงสัยสามารถดูภาพถ่ายรังสีบริเวณช่องอกท่านอนตะแคงเพื่อเป็นการยืนยันได้ (lateral thoracic radiography) (รูปภาพที่ 10)
ข้อห้ามใช้และภาวะแทรกซ้อน (contraindications and complications)
มีหลายสถานการณ์ที่ห้ามใช้สายให้อาหารหรือต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ได้แก่สัตว์ป่วยที่มีอาการอาเจียน (vomit) มีภาวะหายใจลำบาก (dyspnea) หรือในกรณีที่มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงในการสำลักสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร (aspiration of gastric content) (เช่น กรณีที่ไม่มีปฏิกิริยาการกลืน กรณีที่สัตว์ป่วยมีความรู้สึกตัวลดลง หรืออยู่ในท่านอนตะแคง) นอกจากนี้สายให้อาหารอาจไม่เหมาะสมกับสัตว์ป่วยที่ได้รับการบาดเจ็บที่ศีรษะ (head injury) รวมไปถึงการบาดเจ็บที่จมูก (nose)/โพรงจมูก (nasal cavity) หรือคอหอย (pharynx) หรือกรณีที่มีปัญหาการแข็งตัวของเลือด (coagulopathy) เพราะขณะสอดสายให้อาหารอาจทำให้เกิดเลือดกำเดาไหลได้ (epitaxis)
ภาวะแทรกซ้อนอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นได้จากสายให้อาหาร ได้แก่
• เลือดกำเดาไหล (epitaxis)
• จมูกอักเสบ/ไซนัสอักเสบ (rhinitis/sinusitis)
• ถุงน้ำตาอักเสบ (dacryocystitis)
• โรคปอดอักเสบจากการสำลักอาหารหรือน้ำลาย (aspiration pneumonia) (กรณีสายให้อาหารบังเอิญเข้าไปในทางเดินหายใจหรือเกิดอาหารไหลย้อน (food reflux))
• การที่สายให้อาหารงอ (ปกติมักพบการงอบริเวณสายให้อาหารที่ออกจากจมูก ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ทำสายให้อาหารและตำแหน่งของสายให้อาหาร)
• การอุดตันที่สายให้อาหาร (พบได้บ่อยในสายให้อาหารที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กและ/หรือมีรูด้านข้าง (side holes) มากกว่าปลายเปิด (open ended) การดูแลรักษาที่ไม่เพียงพอสามารถทำให้เกิดการอุดตันในสายได้ เพราะฉะนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องฟลัชล้างสายให้อาหารเป็นประจำ (อ่านต่อด้านล่าง) โดยสายที่อุดตันไปแล้วให้ทำความสะอาดโดยการใส่น้ำสะอาดหรือเครื่องดื่มอัดลม (carbonated beverage) หรือสารละลายเอนไซม์ตับอ่อน (pancreatic enzyme solutions) เข้าไปในสาย
• หลอดอาหารเกิดการระคายเคือง (esophageal irritation) หรือหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน (gastric reflux esophagitis)
• สายให้อาหารเคลื่อนออกจากการอาเจียนหรือจาม
สายให้อาหารอาจออกมาได้ด้วยตัวสัตว์ป่วยเอง ซึ่งอาจจะเป็นอุบัติเหตุหรือความตั้งใจก็ได้ การตั้งใจเอาออกอาจเกิดขึ้นเมื่อสัตว์ป่วยรู้สึกไม่สบายตัว เช่น การระคายเคืองจากไหมเย็บตรึงสายให้อาหาร ความเจ็บปวดจากจมูกอักเสบหรือถ้าสายให้อาหารไปรบกวนการมองเห็นของสัตว์ป่วยหรือหนวดบริเวณใบหน้า(มักพบในแมว)
หากยังหาสาเหตุไม่ได้หรือแก้ปัญหาไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องให้สัตว์ป่วยใส่ลำโพงกันเลีย (รูปภาพที่ 11) หรือหาวิธีอื่นๆในการช่วยให้อาหาร (เช่น ใช้สายให้อาหารผ่านเข้าหลอดอาหาร (esophageal feeding tube))
การให้อาหารอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่หรือให้อาหารเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆ (continuous or intermittent feeding)
จากการศึกษาย้อนหลัง (retrospective study) ทั้งในสุนัขและแมวป่วยที่ได้รับอาหารผ่านทางสายให้อาหารที่ผ่านจมูกสู่ทางเดินอาหาร (naso-enteral tube) เป็นเวลา 24 ชั่วโมง พบว่าไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในเรื่องภาวะแทรกซ้อนของระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal complications) (อาเจียน (vomit) ขย้อน (regurgitation) และท้องเสีย (diarrhea)) เมื่อเปรียบเทียบการให้อาหารอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ (continuous rate infusion (CRI)) กับการให้อาหารเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆ (bolus feeding) [2] อย่างไรก็ตามในแต่ละกรณีควรได้รับการปฏิบัติโดยขึ้นกับความเหมาะสมของกรณีนั้นๆและสัตวแพทย์ควรตระหนักถึงปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้ด้วย ยกตัวอย่าง เช่น มีการรายงานว่าแมวที่มีปัญหาไขมันสะสมในตับมากเกินไป (feline hepatic lipidosis) อาจส่งผลให้ปริมาตรของกระเพาะอาหารลดลง (reduced stomach volume) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการอาเจียน (emesis) คลื่นไส้ (nausea) และรู้สึกไม่สบายตัว หากได้รับอาหารเป็นมื้อแต่ทีละมากๆ (bolus feeding) [3]
• การให้อาหารอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ (continuous rate infusion) นั้นจะแนะนำในสัตว์ป่วยที่อ่อนแอและมีภาวะเบื่ออาหาร (anorexia) เป็นเวลานาน เพราะสัตว์ป่วยเหล่านี้จะมีความสามารถในการย่อยอาหารในทางเดินอาหารได้อย่างจำกัด (limited gastrointestinal capacity) ในสถานการณ์เช่นนี้ การให้อาหารทางสายอย่างต่อเนื่องช้าๆมักให้ร่วมกับยากระตุ้นการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร (prokinetic drugs) (เช่น metoclopramide หรือ cisapride) วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้การพยาบาลดูแลน้อยลงและมีโอกาสที่จะเกิดอาการท้องอืด (gastric distension) และไม่สบายตัวในระหว่างให้อาหารได้น้อย อย่างไรก็ตามการให้อาหารอย่างต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่นั้นไม่เหมือนกับการบริโภคอาหารตามปกติและสัตวแพทย์อาจไม่สามารถสังเกตเห็นการสะสมของอาหารในกระเพาะอาหารได้ซึ่งจะนำไปสู่การขย้อน (regurgitation) หรืออาเจียน (vomit) โดยอาหารเหลวควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิห้อง (ห้ามแช่แข็ง) และต้องแน่ใจว่าอาหารไม่ตกตะกอนในไซริงก์หรือถุงอาหาร ซึ่งปัญหาหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการผสมอาหารให้เข้ากันเป็นประจำ
• การให้อาหารเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆ (intermittent (bolus) feeding) นั้นสามารถใช้ได้ในสัตว์ป่วยที่ร่างกายไม่ค่อยอ่อนแอ เช่น กรณีที่สัตว์ป่วยกลับบ้านพร้อมคาสายให้อาหารไว้เพื่อให้เจ้าของกลับไปให้อาหารต่อเองที่บ้าน เป็นต้น วิธีนี้จะมีความคล้ายคลึงกับการกินอาหารปกติในทางสรีรวิทยามากกว่าและช่วยให้สัตวแพทย์ติดตามกระบวนการให้อาหารได้ อีกทั้งยังช่วยให้สัตวแพทย์แน่ใจว่ากระเพาะอาหารจะไม่แน่นจนเกินไป อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะต้องใช้การพยาบาลดูแลมากกว่าวิธีแรกและอาจทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัวและคลื่นไส้ได้ โดยจำเป็นต้องหมั่นตรวจสอบให้แน่ใจอยู่เสมอว่าอาหารอุ่นและต้องให้อาหารช้าๆ (<3 มล./กก./นาที) การยืดขยายของกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็วในสัตว์ป่วยที่มีภาวะเบื่ออาหารอาจจะทำให้สัตว์รู้สึกคลื่นไส้ ไม่สบายตัวและอาเจียนได้ สัตวแพทย์สามารถเลือกใช้เครื่อง syringe pump เพื่อให้อาหารทีละน้อยด้วยความดันที่ตั้งค่าไว้ได้ด้วยเช่นกัน ในกรณีที่ป้อนอาหารด้วยวิธีปกติต้องระวังไม่ให้ใช้แรงมากเกินไปเพราะอาจทำให้ปลายสายสั่นและกระตุ้นให้เกิดการอาเจียน ทั้งนี้มักจะเกิดขึ้นกับสายให้อาหารที่ผ่านจมูกสู่หลอดอาหาร (nasoesophageal tube) มากกว่า หลังจากป้อนอาหารแล้วควรฟลัชล้างสายให้อาหารอีกครั้งและปิดปลายสายเพื่อป้องกันไม่ให้อาหารหรือน้ำเล็ดออกมา
การดูแลรักษาสายให้อาหาร (tube maintenance)
ควรตรวจสอบสายให้อาหารอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยทุก 2-4 ชั่วโมงสำหรับการให้อาหารอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วคงที่และก่อนการให้อาหารเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆทุกครั้ง รวมไปถึง
• การตรวจสอบด้วยสายตาให้แน่ใจว่าสายให้อาหารอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและมีไหมเย็บตรึงอยู่แน่น ถ้าสายให้อาหารหายไปให้รีบตรวจสอบว่าสุนัขอาเจียนสายให้อาหารออกมาหรือกัดส่วนภายนอกสายให้อาหารขาดหรือไม่
• ใช้ไซริงก์ดูดกลับจากสายให้อาหารเพื่อตรวจสอบว่าสามารถดึงเอาอาหารออกมาได้หรือไม่ ถ้าได้อาหารออกมาปริมาณมากจากสายให้อาหารผ่านจมูกสู่กระเพาะอาหาร (nasogastric tube) อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามีอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเนื่องจากการเคลื่อนไหวของระบบทางเดินอาหารลดลง (decreased gastrointestinal motility) และกระเพาะอาหารใช้เวลานานในการบีบไล่อาหารลงสู่ลำไส้เล็ก (prolonged stomach emptying) ควรล้างทำความสะอาดสายให้อาหารแบบต่อเนื่องด้วยอัตราเร็วคงที่ (CRI tube) เป็นประจำอย่างน้อยทุก 4-6 ชั่วโมง หรือถี่กว่านี้หากมีความจำเป็น โดยใช้น้ำอุ่น 5-10 มล. (ขึ้นกับขนาดสายให้อาหาร) ขณะเดียวกันให้สังเกตอาการของสุนัขว่ารู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่ (เช่น น้ำลายไหล (salivation) ไอ (coughing) สำลัก (gagging) หรืออาเจียน (vomiting)) ซึ่งสามารถใช้วิธีเดียวกันนี้ทำทุกครั้งก่อนจะให้อาหารทางสายให้อาหารแบบแบ่งเป็นมื้อในระยะเวลาสั้นๆ (bolus feeding)
Joris Robben
DVM, PhD, Dipl. ECVECC, Dipl. ECVIM-CA
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
Dr Robben จบการศึกษาจาก Utrecht University ในปี 1988 และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกด้วย เนื้องอกของตับอ่อนส่วนที่สร้างอินซูลินในสุนัขในปี 2004 ตั้งแต่ปี 2014 เขาได้รับตำแหน่งรองประธาน European College of Veterinary Emergency and Critical Care ในปัจจุบัน เขาเป็นรองศาสตราจารย์ในหน่วยฉุกเฉินและภาวะวิกฤตที่ Utrecht University
Chiara Valtolina
DVM, Dipl. ECVECC, Dipl. ACVECC
ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์
Dr. Valtolina จบการศึกษาในปี 2000 จากคณะสัตวแพทย์ในกรุงมิลาน และยังคงทำงานเป็นหนึ่งในทีมของหน่วยศัลยศาสตร์เป็นเวลาหลายปีก่อนจะทำงานเป็นสัตวแพทย์ประจำบ้านในหน่วยฉุกเฉินและสัตว์ป่วยวิกฤตใน Royal Veterinary College กรุงลอนดอน เธอได้รับวุฒิบัตรจาก American College of Emergency and Critical Care ในปี 2009 และตามมาด้วยวุฒิบัตรจาก European College of Emergency and Critical Care ในปี2009ได้รับปริญญาเอกจากทำวิทยานิพนธ์เรื่อง aspects of feline hepatic lipidosis และปัจจุบันเธอเป็นอาจารย์อาวุโสในหน่วยสัตว์ป่วยวิกฤตที่คณะสัตวแพทยศาสตร์ ,Utrecht University
แหล่งอ้างอิง
- Herring JM. A novel placement technique for nasogastric and nasoesophageal tubes. J Vet Emerg Crit Care 2016;26(4):593-597.
- Campbell JA, Jutkowitz LA, Santoro KA, et al. Continuous versus intermittent delivery of nutrition via nasoenteric feeding tubes in hospitalized canine and feline patients: 91 patients (2002-2007). J Vet Emerg Crit Care 2010;20(2):232-236.
- Armstrong PJ, Blanchard G. Hepatic lipidosis in cats. Vet Clin North Am Small Anim Pract 2009;39(3):599-616.
Further Reading
- Campbell S, Harvey N. Assisted enteral feeding. In: Advanced monitoring and procedures for small animal emergency and critical care. Burkitt Creedon JM, Davis H, eds. Ames: Wiley-Blackwell 2012:496-512.
- Eirmann L, Michel KE. Enteral nutrition. In: Small animal critical care medicine, 2nd ed. Silverstein DC, Hopper K, eds. St. Louis: Elsevier Saunders 2015:681-686.
- Dörfelt R. A quick guide to feeding hospitalized cats. Vet Focus 2016;26(2): 46-48.