ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัข
เขียนโดย Emmanuel Fontaine
Dr. Emmanuel Fontaine ได้เขียนบทความเกี่ยวกับการให้นมลูกสุนัขที่ดูเหมือนไม่ยุ่งยากแต่มีข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ได้หากขาดความระมัดระวัง (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
Article
ประเด็นสำคัญ
องค์ประกอบของนมสุนัขนั้นแตกต่างจากนมวัวและนมแพะ หากจำเป็นควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสำหรับลูกสุนัขโดยเฉพาะ
ความผิดพลาดในการชงนมพบได้บ่อยในผลิตภัณฑ์รูปแบบผง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการถ่ายเหลวหรือท้องผูกในลูกสุนัขได้
ลูกสุนัขที่มีความเสี่ยงต่อการตายช่วงแรกเกิดจำเป็นต้องได้รับพลังงานเสริมจากอาหารซึ่งสามารถพบได้ในผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัข
ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขรุ่นใหม่มักมีการเสริม maltodextrin และ immunoglobulin Y ซึ่งมีประโยชน์ต่อลูกสุนัขช่วงแรกเกิด
บทนำ
สัตวแพทย์จบการวินิจฉัยการตั้งท้องด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ หันไปยิ้มและแสดงความยินดีกับเจ้าของสุนัขเป็นภาพที่พบได้บ่อยในสถานพยาบาลสัตว์ แต่เรื่องราวทั้งหมดยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น บทสนทนาที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นสิ่งสำคัญมาก ส่วนหนึ่งของการสนทนาจะเกี่ยวข้องกับโรคที่พบในลูกสุนัข การดูแลลูกสุนัขแรกเกิด รวมถึงการเน้นย้ำหลักการสำคัญว่า “การป้องกันดีกว่าการแก้ไขและการรักษา” ซึ่งในบทสนทนามักกล่าวถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขรวมอยู่ด้วย ในทางปฏิบัติแล้วผลิตภัณฑ์ทดแทนนมถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดูแลหลังคลอดแต่มีคำถามมากมายตามมาเช่น ควรเลือกผลิตภัณฑ์ตัวใด ปัจจัยที่ควรคำนึงถึงมีอะไรบ้าง เมื่อใดที่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมและใช้อย่างไร บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตอบคำถามเหล่านั้นและเพิ่มความมั่นใจแก่สัตวแพทย์ในการแนะนำผลิตภัณฑ์ทดแทนนมในสถานพยาบาลได้
ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขที่ดี่ที่สุดควรมีคุณสมบัติอย่างไร
โภชนาการที่เหมาะสม
เจ้าของสุนัขส่วนมากเข้าใจว่านมทุกชนิดสามารถนำมาใช้เลี้ยงลูกสุนัขได้ไม่ว่าจะเป็นนมสดในตู้เย็น นมผงสำหรับทารก นมที่ปรุงจากสูตรในอินเตอร์เน็ต ซึ่งสามารถพบได้หากเจ้าของสุนัขไม่ได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากสัตวแพทย์มากพอ สิ่งที่สำคัญคือการให้เจ้าของรับทราบว่านมสุนัขนั้นมีความจำเพาะเจาะจงอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยพลังงาน แร่ธาตุเช่นแคลเซียมและฟอสฟอรัส รวมถึงโปรตีนมากกว่านมของสัตว์ชนิดอื่น(ตารางที่ 1) สังเกตได้ว่านมวัวและนมแพะ(นมแพะนั้นได้รับความนิยมสูงจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต)มีองค์ประกอบที่แตกต่างจากนมสุนัข ทั้งยังขาดความสมดุลทางโภชนาการที่เหมาะแก่การเจริญเติบโตของลูกสุนัข
ตารางที่ 1 องค์ประกอบของนมสุนัข นมวัว และนมแพะ
| สุนัข (จาก [2]) |
วัว (ดัดแปลงจาก [3]) |
แพะ (ดัดแปลงจาก [3]) |
|
| พลังงาน (kcal/L) | 1560 | 630 | 710 |
| โปรตีน (g/Mcal) | 56.7 | 21.8 | 46 |
| แคลเซียม g/Mcal | 2.13 | 0.55 | 1.7 |
| ฟอสฟอรัส g/Mcal | 1.37 | 0.48 | 1.46 |
|
แลคโตส (g/Mcal)
|
20 | 28.8 | 57.7 |
Osmolality คือสิ่งสำคัญ
Osmolality คือแรงดันออสโมติกที่เกิดจากอนุภาคซึ่งละลายอยู่ในน้ำนม หากมีอนุภาคที่มี osmolality สูงในปริมาณมากเข้าสู่ทางเดินอาหารลูกสัตว์ที่เกิดใหม่อาจเหนี่ยวนำให้เกิดภาวะถ่ายเหลว (osmotic diarrhea) ได้ จากการที่ร้อยละ 84 ของลูกสุนัขประกอบด้วยน้ำ [4] จึงควรหลีกเลี่ยงภาวะดังกล่าวโดยเฉพาะช่วงแรกเกิด แลคโตสจะส่งผลต่อ osmolality ของน้ำนมทำให้นมโคและนมแพะซึ่งมีปริมาณแลคโตสสูงเทียบกับนมสุนัขนั้นเป็นตัวเลือกที่ไม่เหมาะสมแก่ลูกสุนัข
ตัวเลือกที่เหมาะสม
ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขวางจำหน่ายมากมายให้เลือกใช้ สิ่งสำคัญที่สุดคือองค์ประกอบของผลิตภัณฑ์ควรมีความใกล้เคียงกับนมสุนัขมากที่สุด แต่มีรายงานว่าในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นสำหรับบางผลิตภัณฑ์ [2] [5] สัตวแพทย์จึงต้องตรวจสอบให้มั่นใจ ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมบางยี่ห้ออาจเติมส่วนผสมเพิ่ม(ตารางที่ 2 ) ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขโดยมากตอบโจทย์ความต้องการได้ดีและมอบความสะดวก สร้างความสบายใจแก่เจ้าของสุนัข จึงควรแนะนำให้ใช้ในลูกสุนัขที่มีความจำเป็นเสมอ ผลิตภัณฑ์ที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมีสองรูปแบบได้แก่ของเหลวและรูปแบบผงซึ่งมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน
ตารางที่ 2 องค์ประกอบเพิ่มเติมที่พบในผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัข
| ส่วนประกอบเพิ่มเติม | สาเหตุของการเติมลงในผลิตภัณฑ์ |
| DHA (docosahexaenoic acid) | ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขบางยี่ห้ออุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 หรือ DHA แม่สุนัขมีความสามารถจำกัดในการผลิตสารอาหารนี้ในช่วงให้น[7] การเสริมสารอาหารนี้พบว่าช่วยในการพัฒนาระบบประสาทและการมองเห็นของลูกสุนัข [8] |
| พรีไบโอติกส์ | พรีไบโอติกส์เช่น fructo-oligosaccharide(FOS) พบได้ในผลิตภัณฑ์บางยี่ห้อ มีส่วนช่วยในการทำงานของระบบทางเดินอาหารลูกสุนัข รวมไปถึงการพัฒนาระบบภูมิคุ้มกันโดยสร้างความสมดุลของปริมาณจุลินทรีย์ที่ดีในทางเดินอาหาร [9] |
| Maltodextrin | Maltodextrin อยู่ในกลุ่ม oligosaccharide ซึ่งพบได้ในสูตรนมผงสำหรับเด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด การศึกษาไม่นานมานี้ทำการเสริม maltodextrin ลงในผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสำหรับสุนัขเพื่อเพิ่มพลังงานแก่ลูกสุนัขเกิดใหม่ [10] การป้อนสารอาหารนี้ทันทีแก่ลูกสุนัขหลังคลอดจะช่วยสนับสนุนอัตราการเจริญเติบโตระยะแรก รักษาอุณหภูมิร่างกาย และลดความเสี่ยงในการตายหลังคลอดของลูกสุนัข |
| Immunoglobulin Y (IgY) | การเสริม immunoglobulin Y ในทารกแรกเกิดพบว่าช่วยในการเจริญเติบโตได้ ในลูกสุนัขพันธ์ขนาดใหญ่ยังพบว่าช่วยในการพัฒนาของจุลินทรีย์ที่ดีในทางเดินอาหาร [11] |
ผลิตภัณฑ์รูปแบบของเหลวนั้นใช้งานง่ายกว่าอย่างเห็นได้ชัด เพราะอยู่ในรูปแบบพร้อมใช้ ไม่จำเป็นต้องมีการเตรียมการ เพียงแค่ทำการอุ่นเล็กน้อยก่อนป้อนลูกสุนัข นอกจากนี้ยังช่วยหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อยในกรณีของผลิตภัณฑ์รูปแบบนมผงนั่นคือการที่เจ้าของสุนัขเติมน้ำมากเกินไป(นมที่ได้จะเจือจางมากกว่าปกติ)หรือน้อยเกินไป(นมที่ได้จะเข้มข้นมากกว่าปกติ) [6] อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดบรรจุภัณฑ์แล้วควรเก็บผลิตภัณฑ์รูปแบบของเหลวไว้ในตู้เย็นไม่นานจนเกินไป คำแนะนำโดยทั่วไปคือทิ้งหลังจากเปิดใช้แล้วภายใน 72 ชั่วโมง
ในทางตรงกันข้ามผลิตภัณฑ์รูปแบบนมผงสามารถเก็บไว้ได้นานกว่า โดยมากสามารถเก็บได้นาน 1 เดือนหลังเปิดบรรจุภัณฑ์ จากที่กล่าวด้านบนว่ามีโอกาสเกิดข้อผิดพลาดในการชงที่ส่งผลต่อค่า osmolality ได้ ทำให้ลูกสุนัขมีภาวะท้องผูกหรือถ่ายเหลวตามมา อย่างไรก็ตามการที่ผลิตภัณฑ์รูปแบบผงทำให้สามารถควบคุม osmolality ของนมที่ได้มีส่วนช่วยในการแก้ไขปัญหาทางโภชนาการบางอย่างที่จะกล่าวเป็นลำดับถัดไป
สาเหตุที่ทำให้ต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสำหรับลูกสุนัข
สาเหตุจากแม่สุนัข
การไม่มีน้ำนมและพฤติกรรมของแม่สุนัข
เจ้าของสุนัขอาจจำเป็นต้องพึ่งพาผลิตภัณฑ์ทดแทนนมในบางครั้งเพื่อให้ลูกสุนัขแรกเกิดได้กินอย่างเพียงพอ บางกรณีอาจเกิดจากการที่ลูกสุนัขไม่มีแม่ ยกตัวอย่างเช่นการเกิดอุบัติเหตุ หรือปัญหาการวางยาสลบเพื่อทำการผ่าคลอด ถึงแม้จะเป็นปัญหาที่พบไม่บ่อยนักแต่หากเกิดขึ้นจะทำให้แม่สุนัขไม่สามารถเลี้ยงลูกได้ อีกกรณีหนึ่งคือลูกสุนัขแรกเกิดถูกนำมาทิ้งที่ศูนย์พักพิงสัตว์ซึ่งองค์กรเหล่านี้มักพบเหตการณ์ดังกล่าวในกรณีของลูกแมวกำพร้าบ่อยกว่า ทำให้การมีผลิตภัณฑ์ทดแทนที่เหมาะสมนั้นสำคัญมาก พฤติกรรมการละเลยลูกของแม่สุนัขนั้นสำคัญเช่นเดียวกันโดยแม่สุนัขบางตัวอาจละเลยลูกสุนัขในขณะที่บางตัวอาจแสดงพฤติกรรมการกัดทำร้ายลูกของตัวเอง แม่สุนัขที่คลอดลูกครอกแรก(primiparous bitch) มีความเสี่ยงในการเกิดปัญหานี้สูงกว่า [12] รวมถึงพบมากในสุนัขบางสายพันธุ์เช่น English bull terrier [13] เจ้าของสุนัขควรตระหนักถึงความเสี่ยงในการเกิดปัญหาเพื่อที่จะแก้ไขได้ทันท่วงที
ปัญหาเกี่ยวกับการให้นม
กรณีที่แม่สุนัขไม่สามารถผลิตน้ำนมได้นั้นจำเป็นต้องมีการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขอย่างแน่นอน แต่อาจตัดสินได้ยากขึ้นหากเกิดปัญหาที่ไม่ชัดเจนอย่างเช่นเต้านมอักเสบเฉียบพลัน(acute mastitis) การอักเสบนี้อาจเกิดได้ทันทีหลังการคลอดหรือช่วงสามสัปดาห์หลังคลอดซึ่งเป็นช่วงที่มีการผลิตน้ำนมสูงที่สุด [14] อาการทางคลินิกสามารถพบการอักเสบที่เต้านมหนึ่งเต้าหรือมากกว่าร่วมกับการเปลี่ยนสีของน้ำนมเป็นสีน้ำตาลปนเหลือง อาการทั่วไปอื่นๆได้แก่ อ่อนเพลีย มีไข้ แสดงอาการไม่สบายตัวเมื่อลูกสุนัขดูดนมอาจพบได้แต่ไม่ทุกครั้ง สิ่งสำคัญคือเจ้าของสุนัขต้องหมั่นตรวจเต้านมแม่สุนัขเป็นประจำทุกวัน เต้านมอักเสบสามารถส่งผลกระทบต่อลูกสุนัขได้อย่างมาก ทำให้ลูกสุนัขแคระแกร็น ถ่ายเหลว ลำไส้อักเสบ การรักษาเต้านมอักเสบทำได้โดยการให้ยาปฏิชีวนะ ตัวยาที่ถูกเลือกใช้เป็นอันดับแรกได้แก่กลุ่ม cephalosporins [15] สำหรับการดูแลลูกสุนัขนั้นมีความเห็นที่แตกต่างกันออกไป ผู้เชี่ยวชาญบางท่านแนะนำให้ลูกสุนัขดูดนมแม่ต่อไประหว่างการรักษาหากแม่สุนัขไม่แสดงอาการเจ็บเมื่อลูกดูดนมเพื่อป้องกันภาวะน้ำนมคั่ง(galactostasis) ที่อาจส่งผลลบต่อประสิทธิภาพการรักษา ยาปฏิชีวนะสามารถถูกขับออกทางน้ำนมซึ่งอาจช่วยป้องกันลูกสุนัขจากผลของเต้านมอักเสบได้(แต่ผลเสียของยาปฏิชีวนะต่อลูกสุนัขนั้นอาจทำให้เกิดภาวะขาดความสมดุลของจุลินทรีย์ในลำไส้ ถ่ายเหลว และลำไส้อักเสบได้ สัตวแพทย์จึงต้องพิจารณาผลดีและผลเสียก่อนเลือกวิธีการจัดการ) ในขณะเดียวกันผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มหนึ่งแนะนำให้ย้ายลูกสุนัขทั้งครอกออกแล้วป้อนผลิตภัณฑ์ทดแทนนมแม่สุนัขแทนช่วงที่กำลังรักษาเต้านมอักเสบ สาเหตุมาจากการที่ลูกสุนัขนั้นมีความบอบบางและสามารถเสียชีวิตได้ง่าย การให้ลูกสุนัขดูดนมที่มีการปนเปื้อนอาจเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อป้องกันการคั่งของน้ำนมในแม่สุนัขอาจใช้ยากลุ่ม dopaminergic เช่น cabergoline เพื่อหยุดการสร้างน้ำนม [16]
การแก้ปัญหาทั้งสองวิธีที่กล่าวข้างต้นมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป สัตวแพทย์ควรพิจารณาวิธีโดยยึดเอาสุขภาพของลูกสุนัขเป็นหลัก เหนือสิ่งอื่นใดหากลูกสุนัขแสดงอาการป่วย ควรหยุดการให้ดูดนมจากแม่สุนัขแล้วเปลี่ยนมาใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมทันที
กลุ่มอาการภาวะน้ำนมเป็นพิษ(toxic milk syndrome) เป็นอีกหนึ่งความผิดปกติที่ต้องเฝ้าระวัง อาจพบลูกสุนัขบางตัวจากในครอกมีอาการถ่ายเหลวหรือลำไส้อักเสบโดยที่แม่สุนัขไม่แสดงอาการทางคลินิกของเต้านมอักเสบ ลูกสุนัขที่ป่วยจะมีลักษณะแคระแกร็น ปวดท้องหลังกินนม บางครั้งอาจพบลูกสุนัขเพียงตัวเดียวจากในครอกที่แสดงอาการทางคลินิกในขณะที่ตัวอื่นปกติดี จากการศึกษาไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่าอาจเกี่ยวข้องกับเต้านมอักเสบแบบไม่แสดงอาการ(subclinical mastitis) [17] ซึ่งสามารถวินิจฉัยได้จากการส่องน้ำนมผ่านกล้องจุลทรรศน์เพื่อหาปริมาณเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโทรฟิลที่เพิ่มขึ้น(มักไม่ใช่วิธีที่ปฏิบัติเป็นประจำในงานสถานพยาบาลสัตว์) เต้านมอักเสบแบบไม่แสดงอาการควรอยู่ในข้อวินิจฉัยแยกแยะทุกครั้งเมื่อลูกสุนัขไม่สบาย แม้ว่าจะมีเพียงหนึ่งตัวในครอกที่แสดงอาการ เมื่อพบความผิดปกติควรแยกลูกสุนัขตัวดังกล่าวแล้วป้อนด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัข หากพบว่าลูกสุนัขตัวอื่นเริ่มแสดงอาการผิดปกติควรย้ายลูกสุนัขทั้งครอกออกจากแม่สุนัขแล้วป้อนด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขทั้งหมด
ในทางทฤษฎีแล้วเราสามารถปรุงผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขขึ้นเองที่บ้านได้โดยใช้สูตรจากอินเตอร์เน็ต แต่ใช้เวลานานและมีความยุ่งยาก เนื่องจากมีความจำเป็นต้องควบคุมปัจจัยหลายประการเหมาะสมได้แก่ ความสมดุลทางโภชนาการ ความสะอาด และค่า osmolality เห็นได้ชัดว่ามีความเสี่ยงสูงกว่าประโยชน์ที่จะได้รับ
สาเหตุจากลูกสุน
เพดานโหว่(cleft palate)
หลังจากลูกสุนัขคลอดและทำการกู้ชีพจนหายใจได้ปกติแล้ว สัตวแพทย์ควรทำการตรวจหาภาวะเพดานโหว่ซึ่งเป็นหนึ่งในความผิดปกติแต่กำเนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในลูกสุนัขแรกเกิดทันที [18] บางกรณีของเพดานโหว่อาจแก้ไขได้โดยวิธี palatoplasty ซึ่งทำได้เมื่อสุนัขมีอายุมากขึ้น โดยปกติแล้วมักทำการแก้ไข้ที่อายุ 2.5 -14 เดือนขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆและความต้องการของสัตวแพทย์ผู้ทำการผ่าตัดแก้ไข อย่างไรก็ตามในช่วงแรกเกิดลูกสุนัขจะไม่สามารถดูดนมได้และอาจสำลัก ส่งผลให้หายใจไม่ออกและเกิดภาวะปอดอักเสบ(bronchopneumonia) ถึงแก่ความตายได้ ความเสี่ยงนี้จะลดลงเมื่อลูกสุนัขเริ่มกินอาหารแข็ง ดังนั้นอาจพิจารณาหย่านมที่ 3 สัปดาห์หากเจ้าของสุนัขต้องการทำการผ่าตัดแก้ไขช่วงเวลาหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามในช่วง 3 สัปดาห์แรกจำเป็นต้องให้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมผ่านสายยาง(feeding tube)แทนเพื่อลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ความเสี่ยงต่อการตายช่วงแรกเกิด(risk of neonatal mortality)
การศึกษาที่ผ่านมา [19] ช่วยในการจัดทำแนวทางในการเฝ้าระวังลูกสุนัขที่มีความเสี่ยงต่อการตายช่วงแรกเกิด (รูปภาพที่ 1) และเจ้าของสุนัขพึงระมัดระวัง นอกจากนี้ผลของการศึกษายังพบว่าลูกสุนัขที่มีความเสี่ยงจะได้รับประโยชน์จากการเสริมพลังงานในอาหาร ดังนั้นเมื่อตรวจพบลูกสุนัขที่มีความเสี่ยงจึงควรป้อนด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขที่มีความเหมาะสม กราฟแสดงการเจริญเติบโตได้ถูกนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้นโดยสัตวแพทย์และผู้เพาะพันธุ์สุนัข [20] [21] สามารถช่วยในการติดตามการเจริญเติบโตของลูกสุนัขช่วงแรกเกิด กราฟนี้จะช่วยให้ตรวจพบปัญหาในระยะแรกเริ่มได้รวดเร็วจากการที่น้ำหนักลูกสุนัขขึ้นช้าซึ่งเป็นตัวบ่งชี้แรกของปัญหาด้านสุขภาพ การเสริมโภชนาการด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดในกรณีนี้
ลูกสุนัขในครอกมีขนาดไม่สม่ำเสมอ(heterogeneous litter)
“ขนาดลูกในครอกไม่สม่ำเสมอ(litter heterogenicity) อ้างอิงจากความแตกต่างระหว่างน้ำหนักลูกสุนัขที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเล็กที่สุดในครอกเดียวกัน ซึ่งได้ถูกระบุว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงหนึ่งของการตายช่วงแรกเกิด [21] เมื่อพบว่ามีความแตกต่างของขนาดสูง(แตกต่างกันร้อยละ 9.9 -16.8 ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ของสุนัข) จะถือว่าลูกสุนัขครอกนั้นมีความเสี่ยงต่อการตายช่วงแรกเกิด นอกจากนี้ยังเป็นการย้ำเตือนในแง่ของเวชศาสตร์ลูกสุนัขแรกเกิดว่าการพิจารณาสุขภาพของลูกสุนัขนั้นควรดูภาพรวมของทั้งครอก ความแตกต่างของน้ำหนักจะส่งผลต่อการแย่งดูดนมแม่ การเสริมด้วยผลิตภัณฑ์ทดแทนนมจะช่วยแก้ไขปัญหาในจุดนี้ได้
เหตุผลอื่นๆ
การหย่านม(weaning)
การหย่านมมักเริ่มเมื่อลูกสุนัขอายุ 4- 4.5 สัปดาห์ การเปลี่ยนอาหารจากนมไปเป็นอาหารเม็ดควรเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเท่าที่ทำได้ หากเลือกใช้อาหารเม็ดควรทำให้นิ่มด้วยการแช่น้ำก่อนในช่วงสัปดาห์แรกของการหย่านมเพื่อให้ลูกสุนัขย่อยและดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายยิ่งขึ้น [22] (รูปภาพที่ 2) ผู้เขียนบทความแนะนำให้ใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมในการทำให้อาหารนิ่มขึ้นซึ่งมีส่วนช่วยให้การเปลี่ยนอาหารง่ายกว่าเดิม
การเสริม immunoglobulin
ลูกสุนัขมากกว่าร้อยละ 18 ได้รับภูมิคุ้มกัน immunoglobulin จากแม่ผ่านนมน้ำเหลืองไม่เพียงพอ [19]ลูกสุนัขเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการตายช่วงแรกเกิด ด้วยเหตุผลนี้ทำให้ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ทดแทนนมที่มี immunoglobulin Y เด่นชัดขึ้น IgY จะเข้าสู่งร่างกายลูกสุนัขผ่านการดูดซึมนมน้ำเหลืองที่ทางเดินอาหาร [24] ดังนั้นถึงแม้ว่า IgY ในผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสามารถต้านสารก่อโรคได้น้อยชนิด แต่การที่สามารถใช้ได้ตั้งแต่ช่วงแรกเกิดทำให้เพิ่มความมั่นใจว่าลูกสุนัขได้รับการปกป้องจากสารก่อโรคในทางเดินอาหารได้
วิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนนม
วัดอุณหภูมิของลูกสุนัขก่อน
ก่อนป้อนนมลูกสุนัขไม่ว่าจะเป็นลูกสุนัขที่สุขภาพที่หรือมีอาการป่วยควรวัดอุณหภูมิร่างกายก่อน อุณหภูมิร่างกายลูกสุนัขในสัปดาห์แรกจะอยู่ที่ 35.5-35.6 °c ซึ่งจะค่อยๆสูงขึ้นจนเท่ากับอุณหภูมิสุนัขโตเมื่ออายุได้ 3 สัปดาห์ [25] หากอุณหภูมิร่างกายลดต่ำกว่า 34 °c จะทำให้ทางเดินอาหารหยุดการเคลื่อนไหว การย่อยอาหารจะชะงัก ส่งผลให้ลูกสุนัขเกิดอาการท้องอืดจากนมที่ป้อนเข้าไป ความผิดพลาดนี้พบได้บ่อยในการป้อนนมลูกสุนัขโดยเฉพาะลูกสุนัขที่กำพร้าแม่ เจ้าของสุนัขมักให้ความสำคัญต่อการป้อนนมจนลืมวัดอุณหภูมิร่างกายลูกสุนัขก่อนว่าเหมาะสมต่อการป้อนนมหรือไม่ ลูกสุนัขไม่สามารถปรับอุณหภูมิร่างกายเองได้ในช่วง 3 สัปดาห์แรก ดังนั้นหากลูกสุนัขมีภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำจำเป็นต้องอบอุ่นร่างกายก่อนป้อนนมโดยการใช้โคมไฟอินฟราเรด แผ่นรองทำความร้อน ขวดน้ำอุ่นหรือตู้ปรับอุณหภูมิสำหรับสัตว์ กระบวนการให้ความอบอุ่นต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนเริ่มป้อนนม
เจ้าของสุนัขควรปรับอุณหภูมิบริเวณที่ลูกสุนัขนอนเพื่อป้องกันภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำและผลที่จะตามมา ผู้เขียนบทความแนะนำให้ใช้อุณหภูมิ 30 °c บริเวณที่ลูกสุนัขอาศัยในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอด 28°c ในสัปดาห์ที่สอง และ 25 °c ในสัปดาห์ที่สาม หลังจากสัปดาห์ที่สามลูกสุนัขสามารถปรับอุณหภูมิร่างกายได้เองทำให้ปัญหาอุณหภูมิร่างกายต่ำเป็นที่น่ากังวลน้อยลง
ทำตามคำแนะนำวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์
จากที่กล่าวด้านบนว่าความผิดพลาดในการชงสามารถพบได้บ่อยในกรณีของการเตรียมผลิตภัณฑ์รูปแบบผง การพูดคุยกับเจ้าของสุนัขถึงข้อมูลปลีกย่อยที่อาจดูไม่สำคัญมีส่วนช่วยได้มาก เจ้าของสุนัขต้องใช้อัตราส่วนของน้ำและนมผงตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ยังต้องย้ำเตือนเจ้าของสุนัขถึงวลีที่ว่า “มากกว่าไม่ใช่ดีกว่า” เพราะเจ้าของอาจคิดว่าการใช้ผลิตภัณฑ์รูปแบบผงร่วมกับนมชนิดอื่นเช่นนมแพะ จะทำให้นมที่ชงได้มีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าเดิม เป็นที่น่าเสียดายว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลกระทบต่อ osmolality ของนมที่ชงได้อย่างมากนำไปสู่ความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารลูกสุนัข
ความแตกต่างของการป้อนด้วยขวดนมและป้อนผ่านสายยาง
การป้อนผลิตภัณฑ์ทดแทนนมแก่ลูกสุนัขนั้นมีสองวิธีคือการใช้ขวดนมและการใช้สายยาง(feeding tube) ผู้เขียนบทความเชื่อว่าหากสามารถทำได้ควรเลือกวิธีการป้อนด้วยขวดนมมากกว่า ควรใช้ขวดนมสำหรับลูกสุนัขโดยเฉพาะเพราะมีจุกนมที่ทำเปนพิเศษช่วยให้น้ำนมไหลอย่างเหมาะสมขณะป้อน จุดนี้มีความสำคัญมากเพราะถ้าหากนมไหลเข้าปากลูกสุนัขเร็วเกินไป(จากการใช้ขวดนมของทารก หรือใช้ขวดนมสุนัขพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก) อาจทำให้เกิดการสำลัก ผู้เขียนยังชอบใช้ขวดนมที่มีการเจาะหรือตัดจุกนมเรียบร้อยแล้ว จุกนมของบางยี่ห้ออาจต้องทำการเจาะหรือตัดเองซึ่งหากทำไม่ถูกต้องจะส่งผลให้นมไหลเข้าปากลูกสุนัขเร็วเกินไป เกิดผลเสียอย่างเดียวกัน นอกจากนี้สัตวแพทย์ยังต้องแนะนำเจ้าของสุนัขเกี่ยวกับวิธีการอุ้มลูกสุนัขขณะป้อนนม เจ้าของสุนัขมักคิดว่าการอุ้มใช้วิธีเดียวกับการอุ้มทารกป้อนนมซึ่งเป็นวิธีที่ผิดและนำไปสู่การสำลักได้ รูปภาพที่ 3แสดงการอุ้มลูกสุนัขป้อนนมอย่างถูกต้อง
ในทางกลับกัน การป้อนด้วยสายยางนั้นควรสงวนไว้ใช้ในกรณีที่ลูกสุนัขอ่อนแอจนไม่สามารถดูดนมจากขวดได้หรือลูกสุนัขที่มีภาวะเพดานโหว่ ไม่ควรนำมาใช้ในการป้อนนมลูกสุนัขที่มีสุขภาพดีเพียงเพื่อให้ป้อนนมได้เร็วขึ้น การป้อนด้วยสายยางควรเป็นการแก้ไขชั่วคราว(ยกเว้นกรณีเพดานโหว่) เมื่อลูกสุนัขแข็งแรงพอควรเปลี่ยนมาใช้ขวดนมหรือดูดนมจากแม่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
เจ้าของสุนัขยังต้องทราบว่าลูกสุนัขเกิดใหม่ไม่สามารถอุจจาระหรือปัสสาวะได้เอง ปฏิกิริยาตอบสนอง(reflex)นี้ต้องถูกกระตุ้นโดยการเลียของแม่สุนัขที่บริเวณก้นของลูก หลังจากป้อนนมเสร็จทุกครั้ง เจ้าของสุนัขต้องกระตุ้นบริเวณก้นโดยการถูด้วยผ้าก๊อซชุบน้ำอุ่น
จำนวนครั้งที่เหมาะสมในการป้อนนมต่อวัน
เขียนบทความแนะนำจำนวนครั้งของการป้อนผลิตภัณฑ์ทดแทนนมให้แก่ลูกสุนัขเกิดใหม่ดังนี้ ในช่วงสัปดาห์แรกหลังคลอดให้วันละ 8 ครั้ง สัปดาห์ที่สองวันละ 6 ครั้ง และในสัปดาห์ที่สามลดลงเหลือวันละ 4 ครั้ง ลูกสุนัขบางตัวในครอกอาจพัฒนาพฤติกรรมการดูดลูกสุนัขตัวอื่นซึ่งอาจนำไปสู่การอักเสบที่รุนแรงหรือแม้แต่กลายเป็นก้อนฝีหนองได้ พฤติกรรมดังกล่าวสามารถพบได้เมื่อลูกสุนัขหิว อย่างไรก็ตามการเพิ่มปริมาณนมที่ป้อนอาจนำไปสู่ความเสี่ยงของการเกิดภาวะถ่ายเหลวในลูกสุนัขที่สูงขึ้นจากการที่ประสิทธิภาพของระบบทางเดินอาหารที่จำกัด ทางแก้ไขที่เหมาะสมที่สุดคือการเพิ่มจำนวนครั้งของการป้อนนม ยกตัวอย่างเช่นในสัปดาห์แรกหลังคลอดสามารถปรับเป็นป้อนนมวันละ 10 ครั้งแทน 8 ครั้งได้ ผู้เขียนประสบความสำเร็จในการใช้วิธีดังกล่าวที่ศูนย์พักพิงสุนัขโดยถึงแม้จะใช้เวลามากขึ้นในการทำงาน แต่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดปริมาณนมที่เหมาะสมในการป้อนแต่ละครั้ง>
โดยปกติแล้วหากลูกสุนัขได้รับอาหารโดยการป้อนผลิตภัณฑ์ทดแทนนมเพียงอย่างเดียว เจ้าของสุนัขควรทำตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด แต่การใช้กราฟการเจริญเติบโตของสุนัขร่วมด้วยจะช่วยให้ปรับวิธีการให้อย่างเหมาะสมได้ งานวิจัยไม่นานมานี้ยังพบว่าลูกสุนัขที่ดูดนมแม่อยู่แต่ถูกระบุว่าอยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการตายแรกเกิด สามารถป้อนผลิตภัณฑ์ทดแทนนมได้อย่างไม่จำกัด(ad lib) [19] ผู้เขียนบทความไม่พบข้อเสียใดจากการปฏิบัติตามแนวทางนี้ โดยลูกสุนัขจะสามารถจำกัดปริมาณนมที่ดูดได้ด้วยตัวเอง ทั้งนี้อาจมีลูกสุนัขบางตัวที่มีความอยากอาหารสูงมากทำให้กินนมมากเกินไป นำไปสู่ภาวะถ่ายเหลวซึ่งผู้เขียนบทความพบในสุนัขพันธุ์ Labrador retriever สัตวแพทย์จึงควรแนะนำเจ้าของสุนัขไม่ให้ป้อนนมลูกสุนัขเกินปริมาณสูงสุดตามคำแนะนำของผู้ผลิตคำแนะนำสำหรับสัตวแพทย์: เล่นกับความเข้มข้น
สัตวแพทย์พึงระลึกว่าอัตราส่วนของน้ำและนมผงนั้นสามารถปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมได้ตามสถานการณ์เช่นเดียวกันในคน osmolality ที่แตกต่างกันของนมที่ชงได้สามารถจัดการภาวะถ่ายเหลวหรือท้องผูกในลูกสุนัขที่ไม่ซับซ้อนมาก (เกี่ยวของกับโภชนาการ [26]) จากประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เขียนบทความจะใช้น้ำปริมาณร้อยละ 80 ของที่แนะนำเมื่อเตรียมนมสำหรับลูกสุนัขที่มีภาวะท้องผูก และใช้ปริมาณน้ำร้อยละ 120 ของที่แนะนำเมื่อลูกสุนัขมีอาการถ่ายเหลว ทั้งสองกรณีให้กลับมาใช้อัตราส่วนน้ำและนมผงตามปกติเมื่อลูกสุนัขมีอาการดีขึ้นสรุป
ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสุนัขควรเป็นเครื่องมือสำคัญในการเลี้ยงลูกสุนัข เจ้าของสุนัขที่มีสุนัขซึ่งกำลังตั้งท้องต้องมีการเตรียมผลิตภัณฑ์ทดแทนนมที่เหมาะสม ทั้งนี้สัตวแพทย์ยังต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับการหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย มีหลายสถานการณ์ที่ผลิตภัณฑ์ทดแทนนมสามารถสร้างประโยชน์ได้และหากใช้อย่างถูกต้องจะช่วยให้ลูกสุนัขเกิดใหม่มีสุขภาพแข็งแรง
Emmanuel Fontaine
DVM, MS, Dipl. ACVIM
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
Rudinsky สำเร็จการศึกษาระดับ DVM จาก OSU และได้ฝึกงานด้านการหมุนเวียนสัตว์ขนาดเล็กที่ Purdue University ก่อนที่จะกลับไปรับที่อยู่อาศัยรวมในสาขาอายุรศาสตร์และปริญญาโทที่รัฐโอไฮโอ ตอนนี้เขาอยู่ในคณะในฐานะพนักงานฝึกงานซึ่งเขาให้บริการด้วยความสนใจเฉพาะทางมุมมองทางคลินิกและการวิจัยที่เกี่ยวข้องทางคลินิกในระบบทางเดินอาหารตับอ่อนและตับ เขาได้รับรางวัลการสอนและรางวัลการบริการในโรงพยาบาลหลายรางวัล
แหล่งอ้างอิง
- Fahley GC Jr., Barry KA, Swanson KS. Age-related changes in nutrient utilization by companion animals. Annu. Rev. Nutr. 2008;28:425-445.
- Heinze CR, Freeman LM, Martin CR, et al. Comparison of the nutrient composition of commercial dog milk replacers with that of dog milk. J. Am. Vet. Med. Assoc. 2014;244(12):1413-1422.
- Prosser CG. Compositional and functional characteristics of goat milk and relieve as a base for infant formula. J. Food Sci. 2021;86(2):257-265.
- Indrebø A, Trangerund C, Moe L. Canine neonatal mortality in four large breeds. Acta Vet. Scand. 2007;49:S2.
- Corbee RJ, Tryfonidou MA, Beckers IP, et al. Composition and use of puppy milk replacers in German Shepherd puppies in the Netherlands. J. Anim. Physiol. Nutr. (Berl.) 2012;96(3):395-402.
- Renfrew MJ, Ansell P, Macleod KL. Formula feed preparation: helping reduce the risks, a systematic review. Arch. Dis. Child Educ. Pract. Ed. 2003;88:855-858.
- Greco DS. Pediatric nutrition. Vet. Clin. North Am. Small Anim. Pract. 2014;44:265-273.
- Beynen AC. Brain food for puppies. Creature Companion 2017;10:36-38.
- Czarnecki-Maulden GL. Effect of dietary modulation of intestinal microbiota on reproduction and early growth. Theriogenology 2008;70(3):286-290.
- Boutigny L, Grellet A, Feugier C, et al. Effect of energy supplementation between birth and 3 weeks on growth rate in puppies. In Proceedings, 19th Congress European Society of Veterinary and Comparative Nutrition (ESVCN) 2016, Berlin, Germany.
- Mila H, Grellet A, Mariani C, et al. Natural and artificial hyperimmune solutions: Impact on health in puppies. Reprod. Domest. Anim. 2017;52(S2):163-169.
- Santos NR, Beck A, Fontbonne A. A review of maternal behaviour in dogs and potential areas for further research. J. Small Anim. Pract. 2019;61(2):85-92.
- Holmes SP, Memon MA, Fite CL. Theriogenology Question of the Month. J. Am. Vet. Med. Assoc. 2009;234:205-207.
- Lection J, Cornelius AJ, Moxon R, et al. Incidence and risk factors for canine mastitis and metritis in two guide dog populations. Anim. Reprod. Sci. 2021;231:106802 DOI: 10.1016/j.anireprosci.2021.106802
- Vasiu I, Dabrowski R. Lactation-related mammary gland pathologies – a neglected emergency in the bitch. Reprod. Dom. Anim. 2021;56(2):208-230.
- Marti JA, Fernandez S. Clinical approach to mammary gland disease. In; BSAVA Manual of Canine and Feline Reproduction and Neonatology. Gloucester, British Small Animal Veterinary Association 2010;155-165.
- Kaszak I, Ruszczak A, Kanafa S, et al. New insights of canine mastitis – a review. Anim. Sci. Pap. Rep. 2018;1:33-44.
- Domoslawska A, Jurczak A, Janowski T. Oral folic acid supplementation decreases palate and/or lip cleft occurrence in Pug and Chihuahua puppies and elevates folic acid blood levels in pregnant bitches. Pol. J. Vet. Sci. 2013;16(1):33-37.
- Chastant-Maillard S, Mila H, Grellet A, et al. Neocare – 5 years of science to improve the health of newborn puppies. Royal Canin SAS, News From Research 2016;41.
- Alves I. A model of puppy growth during the first three weeks. Vet. Med. Sci. 2020;6(4):946-957.
- Lecarpentier M, Martinez C. La croissance du chiot entre 0 et 2 mois : établissement de courbes de croissance de référence par race. Thèse d’exercice vétérinaire, École Nationale Vétérinaire de Toulouse, ENVT 2017;274.
- Fontaine E. Food intake and nutrition during pregnancy, lactation and weaning in the dam and offspring. Reprod. Dom. Anim. 2012;47(S6):326-330.
- Mugnier A, Mila H, Guiraud F, et al. Birth weight as a risk factor for neonatal mortality: Breed specific approach to identify at-risk puppies. Prev. Vet. Med. 2019;171:104746.
- van Nguyen S, Umeda K, Yokoyama H, et al. Passive protection of dogs against clinical disease due to canine parvovirus-2 by specific antibody from chicken egg yolk. Can. J. Vet. Res. 2006;70(1):62-64.
- Reyes-Sotelo B, Mota-Rojas D, Martinez-Burnes J, et al. Thermal homeostasis in the newborn puppy: behavioral and physiological responses. J. Anim. Behav. Biometeorol. 2021;9(3):2112.
- Victora CG, Bryce J, Fontaine O, et al. Reducing deaths from diarrhoea through oral rehydration therapy. Bull. World Health Organ. 2000;78(10):1246-1255.