โรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมและอาหาร ในสุนัข
เขียนโดย Giacomo Biagi
เมื่อสัตวแพทย์พบสุนัขที่แสดงอาการป่วยอย่างรุนแรง อาจมองข้ามสิ่งสำคัญไปว่าโรคบางอย่างมีสาเหตุโน้มนำมาจากพันธุกรรม บทความนี้จะกล่าวถึงภาพรวมของโรคที่พบได้บ่อยในบางสายพันธุ์และความสำคัญของการปรับอาหารที่ส่งผลต่อการรักษาโดย Dr. Giacomo Biagi (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
ประเด็นสำคัญ
สุนัขบางพันธุ์มีแนวโน้มที่จะเกิดโรคนิ่วได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นโดยเฉพาะนิ่ว urate cystine และ xanthine
เมื่อทำการวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบในสุนัขพันธุ์ทางซีกโลกเหนือควรคำนึงถึงสาเหตุจากการขาด zinc ร่วมด้วย โดยเฉพาะหากพบรอยโรคที่รอบดวงตา
โรค copper-storage disease ไม่ได้จำกัดเฉพาะสุนัขพันธุ์ Bedlington Terrier เท่านั้นแต่ยังพบในสายพันธุ์อื่นได้อีกด้วย
สุนัขบางสายพันธุ์โดยเฉพาะพันธุ์ทางซีกโลกเหนืออาจแสดงความผิดปกติเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารเพราะไม่สามารถย่อยแป้งได้ อันเป็นผลจากปัญหาทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ amylase จากตับอ่อน
บทนำ
โรคในสุนัขหลายโรคเป็นผลมาจากการขาดสารอาหารหรือความไม่สมดุลของโภชนาการที่ได้รับ ถึงแม้จะมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับความต้องการทางโภชนาการของสุนัขในปัจจุบัน [1] แต่ก็ยังพบภาวะทุพลภาพที่เกิดจากการขาดสารอาหารอีกด้วย อีกทั้งยังทราบว่าสารอาหารบางอย่างสามารถก่อให้เกิดความเป็นพิษในสุนัขได้ หากได้รับมากเกินไปยกตัวอย่างเช่น hypervitaminosis A D และ trace mineral อื่นๆ เช่น selenium cobalt และ iodine
การได้รับอาหารที่ไม่เหมาะสมสามารถก่อให้เกิดโรคได้เช่นเดียวกัน ลองพิจารณาว่าอาหารสามารถทำให้เกิดโรคระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้อย่างไร ปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารรวมไปถึงตับและตับอ่อน การแพ้อาหารรวมอยู่ในหมวดนี้ด้วย โดยมีการแสดงออกของโรคที่ผิวหนังและระบบทางเดินอาหาร การได้รับพลังงานมากเกินความจำเป็นจนก่อให้เกิดโรคอ้วนที่นำไปสู่โรคอื่นๆ สามารถจัดว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากอาหารได้เช่นเดียวกัน การแพทย์ในคนถือว่าอาหารที่รับประทานมีส่วนในการเกิดมะเร็งบางชนิดแต่ยังไม่ได้มีการศึกษาอย่างกว้างขวางในสัตว์
ถึงแม้จะมีโรคที่เกิดจากอาหารมากมาย แต่ในบทความนี้จะครอบคลุมเพียงโรคที่พบได้บ่อย โรคที่เป็นปัญหาเดี่ยว หรือโรคที่เกิดในสุนัขสายพันธุ์ที่มีความโน้มนำต่อการเกิดโรคได้มากกว่าสายพันธุ์อื่นจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม
Urolithiasis
นิยามของคำว่า urolithiasis คือนิ่วที่เกิดในระบบทางเดินปัสสาวะและสามารถเกิดได้ในสุนัขทุกสายพันธุ์ แต่มีหลักฐานว่าสุนัขบางพันธุ์มีโอกาสเกิดนิ่วบางชนิดได้มากกว่าพันธุ์อื่น
Ammonium urate calculi
Ammonium urate calculi มีโอกาสเกิดมากในสุนัขพันธุ์ dalmatian ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสายพันธุ์สุนัขที่มีโอกาสโน้มนำการเกิดโรคได้มากกว่าพันธุ์อื่น สุนัขโดยทั่วไปจะสร้างกรดยูริคโดยกระบวนการ purine catabolism และเปลี่ยนกรดยูริคไปเป็น allantoin โดยเอนไซม์ uricase จากนั้นขับออกทางปัสสาวะ (รูป 1) ในสุนัขพันธ์ dalmatian มีเอนไซม์ uricase แต่ตับไม่สามารถเปลี่ยนกรดยูริคไปเป็น allantoin ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุมาจากความผิดปกติของ autosomal recessive gene ส่งผลให้สุนัขสายพันธุ์นี้ขับกรดยูริคออกมากับปัสสาวะปริมาณสูงกว่าสายพันธุ์อื่น และสถานการณ์จะแย่ลงจากการที่สุนัขพันธุ์ dalmatian มีการดูดกลับกรดยูริคที่ท่อไตได้ไม่ดีนัก จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดส่งผลให้โอกาสการเกิดนิ่วชนิดยูเรต โดยเฉพาะ ammonium urate ในสุนัขสายพันธุ์นี้สูง และโอกาสการเกิดในเพศผู้จะสูงกว่าเพศเมีย (รูป 2) [2]
นิ่วชนิด ammonium urate ไม่ได้จำกัดเฉพาะในสุนัขพันธุ์ dalmatian เท่านั้น ยังมีสุนัขพันธุ์อื่นๆที่มีโอกาสเกิดนิ่วชนิดนี้ได้ง่ายกว่าสุนัขทั่วไป ได้แก่ english bulldog miniature schnauzer shih-Tzu และ yorkshire terrier
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆนอกจากพันธุกรรมที่ทำให้สุนัขเกิดนิ่วชนิดนี้ ได้แก่ portosystemic shunt หรือความผิดปกติใดๆที่สร้างความเสียหายแก่ตับ ส่งผลให้การเปลี่ยนกรดยูริคไปเป็น allantoin ลดลง
สุนัขที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดนิ่วชนิด ammonium urate ควรได้รับอาหารที่มีพิวรีนต่ำ พิวรีนจะพบมากในอาหารที่ประกอบไปด้วยเนื้อและเครื่องในปริมาณสูง ชีสและไข่จึงเป็นตัวเลือกที่สำหรับแหล่งโปรตีนที่มีพิวรีนต่ำ หรืออาจใช้อาหารสำเร็จรูป1 ที่มีปริมาณพิวรีนต่ำหาได้ในท้องตลาด ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ส่งเสริมให้ปัสสาวะมีสภาพเป็นกรดมากขึ้น หากจำเป็นอาจต้องมีการเติมความเป็นด่างลงในอาหารโดยใส่ potassium citrate 80-150 mg/kg q24h [3] การให้สุนัขกินน้ำมากๆเป็นหลักการเดียวกันกับการจัดการนิ่วชนิดอื่นโดยน้ำจะช่วยเจือจางปัสสาวะและลดการตกตะกอนนิ่ว [4] ท้ายที่สุดอาจลดการเกิดกรดยูริคโดยการให้ยา allopurinol 15 mg/kg q12h โดยการกิน ตัวยาจะออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ xanthine oxidase ทำให้ xanthine และ hypoxanthine ไม่ถูกเปลี่ยนเป็นกรดยูริค แต่พึงระลึกว่าสุนัขที่ได้รับยา allopurinol ยังสามารถเกิดนิ่วชนิด xanthine ได้ หากยังคงได้รับอาหารที่มีปริมาณพิวรีนสูง
1 Royal Canin Urinary U/C low purine
Cystine calculi
Cystine ประกอบไปด้วยสองโมเลกุลของกรดอะมิโน cysteine ที่มีกำมะถัน เมื่อมีปริมาณ cystine สูงในปัสสาวะจะเกิดการตกผลึกได้ง่ายเพราะมีการละลายน้ำได้น้อย นิ่ว cystine ในสุนัขอยู่ในกลุ่มที่หายากมีโอกาสพบได้เพียงร้อยละ 1-3 ของสุนัขที่เป็นโรคนิ่ว (รูป3) [5] อย่างไรก็ตามมีรายงานว่ามีโอกาสถ่ายทอดทางพันธุกรรมส่งผลให้สุนัขบางสายพันธุ์มีโอกาสเกิดนิ่ว cystine ได้สูงกว่าสายพันธุ์อื่นได้แก่ daschunds basset hound irish terrier และ english bulldog โดยในเพศผู้จะมีโอกาสพบได้มากกว่าเพศเมีย
Ammonium urate calculi มีโอกาสเกิดมากในสุนัขพันธุ์ dalmatian ซึ่งเป็นตัวอย่างที่สำคัญของสายพันธุ์สุนัขที่มีโอกาสโน้มนำการเกิดโรคได้มากกว่าพันธุ์อื่น สุนัขโดยทั่วไปจะสร้างกรดยูริคโดยกระบวนการ purine catabolism และเปลี่ยนกรดยูริคไปเป็น allantoin โดยเอนไซม์ uricase จากนั้นขับออกทางปัสสาวะ (รูป 1) ในสุนัขพันธ์ dalmatian มีเอนไซม์ uricase แต่ตับไม่สามารถเปลี่ยนกรดยูริคไปเป็น allantoin ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สาเหตุมาจากความผิดปกติของ autosomal recessive gene ส่งผลให้สุนัขสายพันธุ์นี้ขับกรดยูริคออกมากับปัสสาวะปริมาณสูงกว่าสายพันธุ์อื่น และสถานการณ์จะแย่ลงจากการที่สุนัขพันธุ์ dalmatian มีการดูดกลับกรดยูริคที่ท่อไตได้ไม่ดีนัก จากปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดส่งผลให้โอกาสการเกิดนิ่วชนิดยูเรต โดยเฉพาะ ammonium urate ในสุนัขสายพันธุ์นี้สูง และโอกาสการเกิดในเพศผู้จะสูงกว่าเพศเมีย (รูป 2) [2]
โรคที่เกี่ยวข้องกับพันธุ์ของสุนัขหลายโรคมีความเชื่อมโยงกับอาหารไม่มากก้อน้อย สัตวแพทย์ต้องระวังถึงความเป็นไปได้ที่อาการเจ็บป่วยของสุนัขจะเป็นผลมาจากอาหารที่กิน
Xanthine calculi
Xanthine เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งจากกระบวนสลายพิวรีนและเป็นสารตั้งต้นของกรดยูริค มีโอกาสตกตะกอนและเกิดเป็นนิ่วได้ง่ายหากมีความเข้มข้นสูงจากการที่ xanthine ละลายน้ำได้น้อย จากที่กล่าวมาด้านบนว่าผลึกและนิ่ว xanthine มักเป็นผลจากยา allopurinol ซึ่งใช้รักษานิ่วชนิด ammonium urate และยังใช้รักษาโรค Leishmaniasis อีกด้วย นอกจากนี้มีการพบว่าภาวะ xanthinuria มีโอกาสที่จะถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ ดังที่พบได้ในคนและสุนัขพันธุ์ cavalier king charles spaniel (CKCS) [6] แต่พบได้ยากมาก โดยจากการศึกษาในสุนัขพันธุ์ CKCS จำนวน 35 ตัว ไม่พบว่ามีภาวะ xanthiuria เลย [7] หากพบว่าสุนัขมีนิ่ว xanthine ควรได้รับอาหารที่มีพิวรีนปริมาณต่ำ2 เช่นเดียวกับกรณีที่กล่าวไว้ข้างต้น
2 Royal Canin Urinary U/C low purine
Zinc-responsive skin disorders
สุนัขต้องการสารอาหารหลายชนิดเพื่อบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีโดย zinc เป็นหนึ่งในสารอาหารบำรุงผิวที่สำคัญ สุนัขที่ได้รับอาหารที่มีปริมาณ zinc ไม่เพียงพอจะแสดงอาการที่ผิวหนัง แต่ในสุนัขจะมีโรคผิวหนัง 2 ชนิดที่จำเพาะต่อการขาด zinc ชนิดแรกจะพบในลูกสุนัขโดยเฉพาะพันธุ์ใหญ่ ที่ได้รับอาหารที่มีปริมาณ zinc ไม่เพียงพอหรือมีสารชนิดอื่นที่มีความสามารถในการจับกับ zinc แล้วลดการดูดซึม เช่น phytates ที่พบได้ในวัตถุดิบจากพืชที่ไม่ได้ผ่านกระบวนการทำให้สุก ชนิดที่สองมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมและพบได้บ่อยในสุนัขสายพันธุ์ทางซีกโลกเหนือเช่น siberian Husky และ alaskan malamute แต่พบได้ใน doberman และ bull terrier เช่นกัน รายงานเกี่ยวกับอาการทางคลินิกของโรคผิวหนังที่เกิดจากการขาด zinc พบว่าจะมี crust และ erythema บริเวณรอบดวงตาจากการที่ดูดซึมจากลำไส้ได้ไม่ดี [8] โรคผิวหนังชนิดนี้ควรได้รับการรักษาโดยการให้กินเกลือของ zinc เช่น zinc methionine, zinc sulfate หรือ zinc gluconate ขนาดของ zinc ที่แนะนำคือ 2-3 mg/kg q24h แต่สัตวแพทย์ควรระมัดระวังเวลาจ่ายยาเพราะอาจะสับสนจากฉลากได้ ยกตัวอย่างเช่น zinc sulfate 220 mg จะมี zinc อยู่จริง 50 mg ในขณะที่ zinc gluconate 50 mg จะมี zinc อยู่จริง 50 mg [8]
Copper-storage hepatopathy
ความผิดปกตินี้สามารถถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรม พบมากในสุนัขพันธุ์ bedlington terrier และมีความคล้ายคลึงกับโรค Wilson’s disease ในคน สุนัขพันธุ์ bedlington terrier จะส่งผ่านความผิดปกตินี้ผ่านยีนด้อย ส่งผลให้การขับทองแดงออกมากับน้ำดีลดลง ปริมาณทองแดงที่เพิ่มขึ้นจึงสะสมในตับ [9] ก่อให้เกิดความเป็นพิษและนำไปสู่โรคตับที่ค่อยๆทวีความรุนแรงขึ้น กระบวนการคัดเลือกสายพันธุ์ในปัจจุบันได้ลดความผิดปกติของสายพันธุ์นี้ลงไปมาก นอกจาก bedlington Terrier แล้วยังพบการถ่ายทอดความผิดปกตินี้ทางพันธุกรรมในสุนัขสายพันธุ์อื่นด้วยเช่น skye terrier west highland white terrier doberman dalmatian และ labrador retriever หาก
ตรวจพบภาวะ chronic copper hepatopathy จากการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อตับมาตรวจ ทองแดงที่พบอาจเกิดการสะสมที่เป็นผลมาจากโรคตับเพราะปัญหาที่ตับจะลดการขับทองแดงผ่านท่อน้ำดีลง [10]
หากพบว่ามีปัญหาโรคตับร่วมกับการสะสมของทองแดงที่ตับซึ่งได้รับการยืนยันโดยการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อตับไปตรวจ สุนัขจำเป็นต้องได้รับอาหารที่มีปริมาณทองแดงต่ำกว่าค่ามาตรฐานที่สุนัขโตเต็มวัยควรได้รับ นอกจากนี้ยังควรมีปริมาณ zinc ที่สูงอย่างน้อย 200 mg / มวลอาหารแห้ง 1 kg [11] โดย zinc จะไปกระตุ้นการทำงานของโปรตีน metallothionein ที่ทำหน้าที่จับกับทองแดงบริเวณ epithelial cell ของลำไส้เล็กและยับยั้งการดูดซึม หากสุนัขมีปริมาณทองแดงสูงมาก ต้องมีการให้ copper chelator เช่น D-penicillamine ขนาด 10-15 mg/kg q12h โดยการกิน เพื่อช่วยลดการดูดซึมที่ลำไส้ สัตวแพทย์จำเป็นต้องเลือกอาหารให้เหมาะสมกับการจัดการโรคตับเรื้อรัง ปริมาณโปรตีนและไขมันในอาหารต้องเหมาะสมกับสภาวะของโรค นอกจากนี้การให้โภชนเภสัช (nutraceutical) ที่ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มการฟื้นฟูเนื้อเยื่อตับอาจช่วยได้ เช่นสารสกัด milk thistle หรือ silymarin ไม่ได้มีขนาดที่ใช้รักษาชัดเจน แต่นิยมให้ที่ 4-8 mg/kg q24h, S-adenosyl-methionine หรือ SAME ขนาด 20 mg/kg q24h และ ursodeoxycholic acid ขนาด 15 mg/kg q24h [12]
Hereditary gluten intolerances
นิยามของกลูเตนคือโปรตีน gliadins และ glutenins จากข้าวสาลี gliadins จากข้าวสาลียังมีความคล้ายคลึงกับ prolamins ที่พบในธัญพืชอื่นๆ เช่นบาร์เลย์ ไรย์ และโอ๊ต ประชากรโลกร้อยละ 1 มีโรคเกี่ยวกับลำไส้ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเรียกว่าเซลิแอค (celiac disease) ซึ่งจะแสดงอาการเมื่อได้รับกลูเตน [13] มีรายงานพบความผิดปกติเกี่ยวกับลำไส้ที่มีสาเหตุจากกลูเตนในสุนัขพันธุ์ irish setter [14] ซึ่งปัจจุบันได้ลดลงไปเกือบหมดแล้วในหลายประเทศจากการคัดเลือกสายพันธุ์
โรคผิวหนังอักเสบที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย zinc สามารถส่งผ่านทางกรรมพันธุ์ได้ พบได้มากในสุนัขสายพันธุ์ซีกโลกเหนือเช่น alaskan malamute และ siberian husky แต่ก็สามารถพบได้ในสายพันธุ์อื่นเช่นกัน
ความผิดปกติของลำไส้จากกลูเตนจะพบลักษณะการเสื่อมสลายของ villi ที่มีความรุนแรงแตกต่างกันไปเมื่อตรวจทางจุลพยาธิวิทยา ร่วมกับการแทรกซึมของเซลล์อักเสบเข้าไปที่ชั้น lamina propria และ epithelium การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของลำไส้นี้ส่งผลหลายประการ รวมไปถึงลดการทำงานของเอนไซม์ที่บริเวณ ciliated border ด้วย สุนัข irish setter ที่ป่วยด้วยโรคนี้เมื่อให้กินกลูเตนจะแสดงอาการที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมที่ผิดปกติ ได้แก่ท้องเสียเรื้อรัง น้ำหนักลด และซูบผอม กลูเตนจากข้าวสาลีมีการยืนยันว่าเป็นตัวการที่ทำให้สุนัขแสดงอาการผิดปกติ ยังไม่มีข้อมูลว่าจะมี
อันตรายจากบาร์เล ไรย์ และอาจจะรวมถึงโอ๊ตในสุนัขที่มีความผิดปกติของลำไส้จากกลูเตนด้วยหรือไม่ แต่ในผู้ป่วยเซลิแอคพบว่าทั้งสามชนิดก่อให้เกิดอันตรายได้ การให้อาหารที่ปราศจากกลูเตนจะทำให้อาการทางคลินิกดีขึ้นและรอยโรคที่ชั้น epithelium ของลำไส้เล็กหายไป อาหารปราศจากกลูเตนจึงเป็นวิธีรักษาและวิธีการวินิจฉัยโรคนี้ที่ปลอดภัยที่สุด [13]
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีการพบบทบาทของกลูเตนในการเหนี่ยวนำให้เกิดโรคทางพันธุกรรมของสุนัขอีกสองโรค ประการแรกคือกลูเตนมีบทบาทสำคัญในกลุ่มอาการ epileptoid cramping syndrome ที่พบในสุนัข border terrier โดยมีการแสดงออกของอาการทางระบบประสาท มี paroxysmal dyskinesia เป็นช่วงๆ และบางครั้งร่วมกับความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร [15] สันนิษฐานว่าโรคนี้เป็นผลมาจาก gluten intolerance ที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีรายงานอย่างน้อยหนึ่งฉบับแสดงให้เห็นว่าการให้อาหารที่ปราศจากลูเตนในสุนัขที่ป่วยจะทำให้อาการดีขึ้น [16] ประการที่สองคือมีการศึกษาบทบาทของกลูเตนในโรค protein-losing enteropathy (PLE) และ protein-losing nephropathy (PLN) ในสุนัขพันธุ์ soft-coated wheaton terrier [17] ผู้ทำการศึกษาพบว่าการให้สุนัขที่ป่วยได้รับกลูเตนจะทำให้ระดับของ globulin ในเลือดลดลง แต่สรุปว่าอาจมีปัจจัยอื่นในกระบวนการเกิดพยาธิสภาพของโรคและสุนัขพันธุ์นี้อาจไม่ได้มี gluten intolerance ที่แท้จริง
Amylase deficiency and starch digestion
ในขั้นตอนของวิวัฒนาการหรือจะกล่าวอย่างง่ายว่าการที่มนุษย์นำสุนัขเข้ามาเป็นสัตว์เลี้ยง ทำให้สุนัขพัฒนาความสามารถการย่อยแป้งขึ้น [18] ซึ่งตรงกันข้ามกับบรรพบุรุษอย่างสุนัขป่าที่ไม่สามารถย่อยแป้งได้ อย่างไรก็ตามความสามารถในการย่อยแป้งไม่ได้พัฒนาเท่ากันในสุนัขทุกสายพันธุ์โดยเฉพาะในสายพันธุ์ทางซีกโลกเหนือ มีความสามารถต่ำในการย่อยแป้ง ส่งผลให้สุนัขเหล่านั้นแสดงอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเช่นอุจจาระรูปร่างผิดปกติ หรือถ่ายเหลวหากได้รับแป้งมากเกินไป ไม่นานมานี้ยังมีรายงานว่าสุนัขสายพันธ์ซีกโลกเหนือบางพันธุ์เช่น siberian husky alaskan malamute shiba inu และ akita [19] มีการผลิตเอนไซม์ amylase จากตับอ่อนที่ทำหน้าที่ย่อยแป้งได้น้อยกว่าปกติ (รูป 6) ความผิดปกตินี้ค่อนข้างต่างจาก exocrine pancreatic insufficiency ที่พบได้บ่อยกว่า มีข้อสันนิษฐานว่าแป้งไม่ใช่แหล่งพลังงานหลักของสุนัขสายพันธุ์จากซีกโลกเหนือในช่วงที่กำลังวิวัฒนาการ ความผิดปกตินี้ยังพบได้ในสายพันธุ์อื่นเช่น czechoslovakian Wolfdog (รูป 7) จนถึงปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใดๆที่มีข้อมูลเพียงพอว่าควรให้อาหารที่ปราศจากแป้งหรือให้ในปริมาณที่สุนัขสามารถทนได้สำหรับสุนัขที่มีปัญหาการย่อยแป้งดังที่ได้กล่าวมา
Other pathologies
มีความผิดปกติอีกหลายประการในสุนัขที่สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมและมีความเกี่ยวข้องกับอาหาร ด้วยเนื้อที่ที่มีจำกัดจะกล่าวถึงความผิดปกติอีกเพียง 2 ประการ ประการแรกคือ hypertriglyceridemia ในสุนัขพันธุ์ miniature schnauzer [20]โดยสุนัขที่อยู่ในภาวะรุนแรงจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดตับอ่อนอักเสบ ชัก หรือทั้งสองอย่าง โดยความเกี่ยวข้องกันของอาการดังกล่าวและภาวะ hypertriglyceridemia ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด [21] สุนัขที่มีภาวะ
hypertriglyceridemia ควรได้รับอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำและอุดมไปด้วยน้ำมันปลาซึ่งเป็นแหล่งของกรดไขมัน omega-3 ที่สามารถลดระดับ triglyceride ในกระแสเลือดได้ ประการที่สองคือความผิดปกติของการดูดซึมวิตามิน B12 (cyanocobalamin) ในลำไส้ที่พบได้ในสุนัขบางสายพันธุ์ได้แก่ giant schnauzer border collie และ beagle [22] มีชื่อเรียกว่า Imerslund-Grasbeck syndrome (IGS) สุนัขที่ป่วยด้วยโรคนี้จะขาดความอยากอาหาร น้ำหนักลด อ่อนแรง และมีอาการซึมซึ่งจะแสดงอาการหนักขึ้นหลังกินอาหาร สามารถพบภาวะโลหิตจางและ proteinuria ร่วมได้จากการตรวจทางคลินิก การรักษาอาศัยการให้ cyanocobalamin ระยะยาว
โดยสรุป การศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์สุนัขและโรคที่มีความโน้มนำจากสายพันธุ์นั้นๆ จะเป็นประโยชน์แก่สัตวแพทย์อย่างมากในการวินิจฉัยโรคที่พบได้ในสถานประกอบการ โดยสัตวแพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้รวดเร็วแม่นยำมากขึ้น หลายโรคที่มีความเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์สุนัขมีสาเหตุจากอาหารและสามารถจัดการได้ด้วยการเปลี่ยนอาหารที่สุนัขกิน
Giacomo Biagi
DVM, Ph.D.
สาธารณรัฐอิตาลี
Professor Biagi graduated with honors from Bologna in 1994 and was awarded his PhD for a thesis on “Qualitative improvement of food for humans”. A researcher since 2001 and associate professor since 2010 at the University of Bologna, he heads the Facility for Animal Production and Food Safety. The author or co-author of more than 110 scientific publications, Professor Biagi is currently President of the Italian Society of Nutrition and Animal Nutrition and a member of the FEDIAF Scientific Advisory Board.
แหล่งอ้างอิง
- FEDIAF Nutritional Guidelines for complete and complementary pet food for cats and dogs. European Pet Food Industry Federation, May 2017.
- Albasan H, Lulich JP, Osborne CA, et al. Evaluation of the association between sex and risk of forming urate uroliths in Dalmatians. J Am Vet Med Assoc 2005:227:565-569.
- Lulich JP, Osborne CA, Koehler LA. Canine calcium oxalate urolithiasis: changing paradigms in detection, management and prevention. Hand MS, Thatcher CD, Remillard RL, et al (eds) In; Small Animal Clinical Nutrition 5th ed Topeka, Kansas; Mark Morris Institute; 2010;862-863.
- Osborne CA, Bartges JW, Lulich JP. Canine purine urolithiasis: causes, detection, management and prevention. In: Small Animal Clinical Nutrition, 5th ed. Mark Morris Institute, Topeka, 2010:833-853.
- Osborne CA, Lulich JP, Buettner M. Canine cystine urolithiasis: causes, detection, dissolution and prevention. In: Small Animal Clinical Nutrition, 5th ed. Mark Morris Institute, Topeka, 2010:881-890.
- van Zuilen CD, Nickel RF, van Dijk TH, et al. Xanthinuria in a family of Cavalier King Charles spaniels. Vet Q 1997:19:172-174.
- Jacinto AML, Mellanby RJ, Chandler M, et al. Urine concentrations of xanthine, hypoxanthine and uric acid in UK Cavalier King Charles spaniels. J Small Anim Pract 2013:54:395-398.
- White SD, Bourdeau P, Rosychuk RA, et al. Zinc-responsive dermatosis in dogs: 41 cases and literature review. Vet Dermatol 2001:12:101-109.
- Haywood S, Boursnell M, Loughran MJ, et al. Copper toxicosis in non COMMD1 Bedlington terriers is associated with metal transport gene ABCA12. J Trace Elem Med Biol 2016:35:83-89.
- Johnston AN, Center SA, McDonough SP, et al. Hepatic copper concentrations in Labrador Retrievers with and without chronic hepatitis: 72 cases (1980-2010). J Am Vet Med Assoc 2013:242:372-380.
- Marks SL, Rogers QR, Strombeck DR. Nutritional support in hepatic disease. Part I. Metabolic alterations and nutritional considerations in dogs and cats. Comp Cont Educ Pract 1994:16:971-978.
- Willard M. Chronic hepatitis in dogs – diagnosis and treatment. In Proceedings. World Small Animal Veterinary Association Congress 2011.
- Ludvigsson JF, Bai JC, Biagi F, et al. Diagnosis and management of adult coeliac disease – guidelines from the British Society of Gastroenterology. Gut 2014:63:1210-1228.
- Polvi A, Garden OA, Elwood CM, et al. Canine major histocompatibility complex genes DQA and DQB in Irish Setter dogs. Tissue Antigens 1997:49:236-243.
- Black V, Garosi L, Lowrie M, et al. Phenotypic characterisation of canine epileptoid cramping syndrome in the Border Terrier. J Small Anim Pract 2014:55:102-107.
- Lowrie M, Garden OA, Hadjivassiliou M, et al. The clinical and serological effect of a gluten-free diet in Border Terriers with epileptoid cramping syndrome. J Vet Intern Med 2015:29:1564-1568.
- Vaden SL, Sellon RK, Melgarejo LT, et al. Evaluation of intestinal permeability and gluten sensitivity in Soft-Coated Wheaten Terriers with familial protein-losing enteropathy, protein-losing nephropathy, or both. Am J Vet Res 2000:61:518-524.
- Arendt M, Cairns KM, Ballard JWO, et al. Diet adaptation in dog reflects spread of prehistoric agriculture. Heredity 2016:117:301-306.
- Reiter T, Jagoda E, Capellini TD. Dietary variation and evolution of gene copy number among dog breeds. PloS one 2016:11:e0148899.
- Xenoulis PG, Steiner JM. Lipid metabolism and hyperlipidemia in dogs. Vet J 2010:183:12-21.
- Xenoulis PG, Suchodolski JS, Levinski MD, et al. Investigation of hypertriglyceridemia in healthy Miniature Schnauzers. J Vet Intern Med 2007;21:1224-1230.