การจัดการกับลูกสุนัขแรกเกิดที่ป่วย
การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในลูกสุนัขหรือ fading puppy syndrome นั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทางสัตวแพทย์ โดยบทความนี้จะนำเสนอวิธีปฏิบัติเพื่อจัดการกับปัญหานี้ (แปลโดย สพ.ญ.กรณิศ รักเกียรติ)
Article
ประเด็นสำคัญ
ลูกสุนัขแรกเกิดที่มีแสดงอาการเจ็บป่วยควรจัดว่าเป็นภาวะกรณีฉุกเฉิน (emergency) เจ้าของสุนัขควรพาลูกสุนัขเข้ามาพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
สิ่งสำคัญคือการเฝ้าติดตามและควบคุมสภาพแวดล้อมของลูกสัตว์แรกเกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิ (temperature) ความชื้น (humidity) และสุขอนามัย (hygiene)
การพยาบาลลูกสัตว์ที่ดีซึ่งรวมถึง การให้อาหารที่มีสารอาหารเหมาะสมและการกระตุ้นอุจจาระ/ปัสสาวะนั้นมีบทบาทสำคัญในการช่วยลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรในลูกสุนัขได้
การติดเชื้อในกระแสโลหิต (septicemia) นั้นเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดในช่วงระยะแรกเกิด แต่ทั้งนี้กลุ่มอาการ 4H (4H syndrome) ก็เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการป่วยและตายในลูกสัตว์แรกเกิดเช่นเดียวกัน
บทนำ
ลูกสุนัขแรกเกิดที่อายุน้อยกว่า 3 สัปดาห์นั้นมีความบอบบาง และด้วยสาเหตุบางประการลูกสัตว์แรกเกิดเหล่านี้เมื่อมีอาการป่วยจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว ร้อยละ 85 ของลูกสุนัขที่ตายภายในอายุ 1 เดือนจะมีอาการแสดงทางคลินิกก่อนเสียชีวิตน้อยกว่า 5 วัน ดังนั้นลูกสุนัขแรกเกิดที่ดูไม่สบายจึงถูกจัดเป็นภาวะฉุกเฉินทันทีที่เจ้าของสัตว์ติดต่อเข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์ นอกจากนี้การรักษามักทำก่อนการวินิจฉัยหาสาเหตุการเกิดที่แม่นยำ (precise etiology diagnosis) (หรือส่วนใหญ่อาจไม่ได้ทำการวินิจฉัยเลย) อาการแสดงทางคลินิกในลูกสัตว์นั้นมักไม่จำเพาะเจาะจง ได้แก่ การหายใจลำบาก (respiratory distress) ร้อง ท้องกาง (abdominal distension) และแสดงอาการเจ็บปวด ไม่มีความอยากอาหาร (anorexia) น้ำหนักลด อ่อนแรง และอุณหภูมิต่ำ (hypothermia) ทั้งนี้ไม่มีอาการใดที่กล่าวมาในข้างต้นเป็นตัวบ่งชี้ทางพยาธิวิทยาของสาเหตุการตายที่แท้จริงได้
ปัจจัยเบื้องต้นที่ต้องพิจารณา (initial factors to consider)
สัตวแพทย์ควรแจ้งให้เจ้าของนำลูกสุนัขที่ป่วยรวมถึงลูกสุนัขร่วมครอก และแม่สุนัขเข้ามาที่โรงพยาบาลสัตว์ด้วยกันทั้งหมด การตรวจร่างกายสัตว์ทุกตัวในครอกจะช่วยให้สามารถระบุลูกสุนัขป่วยตัวอื่นได้อย่างรวดเร็ว การตรวจร่างกายแม่สุนัขอาจช่วยระบุภาวะต่างๆที่อาจมีผลต่อสุขภาพของลูกสุนัข เช่น มดลูกอักเสบ (metritis) เต้านมอักเสบ (mastitis) ผลิตน้ำนมไม่ได้/ผลิตน้ำนมได้น้อย (agalactia/hypogalactia) หัวนมบอด (invaginated teats) (ทำให้ลูกสุนัขดูดนมไม่ได้) หรือมีตุ่มน้ำใสที่ปากช่องคลอด (vulvar vesicles) ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อไวรัสเริมในแม่สุนัข (maternal herpesvirus infection) ซึ่งพบได้ค่อนข้างน้อย หากเจ้าของสัตว์หมั่นสังเกตและชั่งน้ำหนักลูกสัตว์แรกเกิดแล้วนำกราฟมาตรฐานการเจริญเติบโต (growth curves) มาด้วยก็จะเป็นประโยชน์กับลูกสัตว์มากขึ้น คำแนะนำที่เกี่ยวกับวิธีการขนส่งลูกสุนัขแรกเกิดที่ถูกต้องก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากลูกสัตว์แรกเกิดจะมีการผลิตความร้อนของร่างกายได้ค่อนข้างน้อย ดังนั้นจึงควรรักษาอุณหภูมิแวดล้อมระหว่างการขนส่งไว้ที่ประมาณ 28 องศาเซลเซียส อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงความร้อนที่มากเกินไปด้วย เพราะลูกสัตว์แรกเกิดนั้นไม่สามารถขยับหนีออกจากสิ่งที่ร้อนเกินไปได้ ฉะนั้นแผ่นให้ความร้อนที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้ (microwavable heated pads) หรือขวดน้ำอุ่น (hot water bottles) จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะอุณหภูมิร่างกายสูง (hyperthermia) และป้องกันไม่ให้ผิวหนังไหม้(อีกทั้งขวดทรงกระบอกอาจจะกลิ้งและทับลูกสัตว์ได้ด้วย) ภาวะอุณหภูมิร่างกายสูง (hyperthermia) ไม่เพียงแต่จะรบกวนการประเมินอาการทางคลินิกเท่านั้น แต่ยังเพิ่มกระบวนการเผาผลาญของลูกสุนัขและทำให้มีพลังงานดูกระฉับกระเฉงขึ้น (hyperactive) ทั้งนี้เพราะลูกสุนัขแรกเกิดที่ร่างกายมีอุณหภูมิสูงจะร้องและมีปฏิกิริยาต่างๆมากกว่าปกติ (energetic expenditure)
เมื่อมาถึงโรงพยาบาลสัตว์แล้ว ผู้เขียนแนะนำให้ใช้มาตรการรักษาสุขอนามัยอย่างเคร่งครัด เนื่องจากลูกสัตว์แรกเกิดนั้นมีระบบภูมิคุ้มกันที่พัฒนายังไม่สมบูรณ์ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องป้องกันลูกสัตว์จากการติดเชื้อในโรงพยาบาล (nosocomial infections) แนะนำว่าเวลาที่รอก่อนเข้าห้องตรวจควรสั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยในขณะรอลูกสัตว์จะต้องไม่สัมผัสกับพื้นผิวใดหรือสัตว์ตัวอื่น การตรวจร่างกายควรทำบนพื้นที่ที่สะอาด แห้ง และมีการปรับอุณหภูมิจะดีกว่า (เช่น แผ่นให้ความร้อนที่ตั้งอุณหภูมิไว้ที่ 28-35 องศาเซลเซียส) สวมถุงมือที่ปลอดเชื้อระหว่างตรวจ และตามหลักการแล้วสัตวแพทย์ควรสวมเสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดด้วย
การตรวจร่างกายแม่สุนัข (clinical examination of the dam)
การตรวจร่างกายทั่วไป (general clinical examination) ควรรวมไปถึงการประเมินสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิต (bacteremia) ยกตัวอย่างเช่น มีหลักฐานของการติดเชื้อที่ผิวหนัง หู หรือปาก (เช่น มีหินปูน) ในแม่สุนัขที่แสดงถึงแหล่งของแบคทีเรียหรือไม่ มีสารคัดหลั่งจากช่องคลอดที่มีกลิ่นเหม็นที่บ่งชี้ถึงการเกิดมดลูกอักเสบหรือไม่ ตรวจสอบเต้านมเพื่อดูว่ามีลักษณะของเต้านมอักเสบ (metritis) ดูการพัฒนาของเนื้อเยื่อเต้านมที่ไม่เพียงพอ และดูกายวิภาคของหัวนมเพื่อตรวจสอบว่าลูกสัตว์แรกเกิดสามารถดูดนมได้ง่ายหรือไม่ (รูปภาพที่ 1) ทั้งนี้สัตวแพทย์ควรประเมินคะแนนความสมบูรณ์ร่างกาย (body condition score) ของแม่สุนัขเพื่อตรวจสอบความสามารถในการผลิตน้ำนมอย่างเพียงพอ รวมไปถึงควรประเมินพฤติกรรมความเป็นแม่ด้วย ได้แก่แม่สุนัขสนใจลูกสุนัขที่ร้องอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตามสัตวแพทย์ควรระมัดระวังแม่สุนัขเมื่อจัดการกับลูกสุนัขเพราะแม่สุนัขที่มีพฤติกรรมความเป็นแม่ที่มากเกินไปอาจกัดได้
การตรวจร่างกายลูกสุนัขแรกเกิด (the neonatal clinical examination)
อันดับแรกสัตวแพทย์ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงสำคัญบางประการที่เกี่ยวข้องกับโภชนาการของลูกสุนัขในช่วงวันก่อนหน้า การจัดการและการให้อาหารในช่วง 8 ชั่วโมงแรกหลังคลอดเป็นอย่างไร (ช่วงเวลาที่ช่องว่างระหว่างผนังลำไส้ (intestinal barrier) เปิดรับภูมิคุ้มกันในน้ำนมเหลืองได้ทันที (passive transfer of colostral antibodies)) [1] และเจ้าของได้มีการป้อนนมลูกสุนัขด้วยขวดนมหรือไม่ (มีการสำลักนมที่อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทางเดินหายใจหรือไม่) ในกรณีที่ได้ชั่งน้ำหนักลุกสุนัข การคำนวณอัตราการเจริญเติบโต (growth rate) ระหว่างวันเกิดและอายุ 2 วันก็จะเป็นประโยชน์ เพราะร้อยละ 96 ของลูกสุนัขที่สูญเสียน้ำหนักไปในช่วงนั้นมักจะได้รับภูมิคุ้มกันจากน้ำนมเหลืองไม่เพียงพอ (inadequate passive immune transfer) [2] โดยตามทฤษฎีลูกสุนัขไม่ควรน้ำหนักลดในช่วง 2 วันแรกของชีวิต หลังจากนั้นน้ำหนักของลูกสุนัขควรเปรียบเทียบกับกราฟมาตรฐานการเจริญเติบโตของแต่ละสายพันธุ์ (รูปภาพที่ 2) [3] ซึ่งมีเป้าหมายคือน้ำหนักของลูกสุนัขเพิ่มขึ้นประมาณวันละ 2-4 กรัม/กิโลกรัมของน้ำหนักสุนัขตัวเต็มวัยที่คาดหวัง แต่ทั้งนี้เป้าหมายขั้นต่ำคือ 1.5 เท่าของน้ำหนักแรกเกิดที่อายุ 7 วัน และ 3 เท่าของน้ำหนักแรกเกิดที่อายุ 21 วัน
อุณหภูมิของลูกสุนัขควรวัดด้วยเทอร์มอมิเตอร์สำหรับเด็กที่มีปลายเรียบเพราะเทอร์มอมิเตอร์แบบอินฟราเรด (infrared contactless thermometer) นั้นยังไม่ได้มีการยอมรับให้ใช้ในลูกสัตว์แรกเกิด อุณหภูมิปกติของลูกสุนัขแรกเกิดนั้นจะต่ำกว่าสัตว์ที่โตเต็มวัย โดยส่วนมากลูกสัตว์จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 36.5±1 องศาเซลเซียสที่อายุ 1 วัน 37.0±1.3 องศาเซลเซียสที่อายุ 7 วัน และ 37.2±0.5 องศาเซลซียสที่อายุ 14-21 วัน [4] โดยมีจุดสำคัญ 2 จุดที่ต้องได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ หนึ่งคือลูกสุนัขที่มีภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำต้องได้รับความอบอุ่นแบบค่อยเป็นค่อยไป (คือเพิ่มได้สูงสุด 1 องศาเซลเซียสต่อชั่วโมง) การได้รับความอบอุ่นแบบทันทีทันใดอาจจะทำให้เสียชีวิตอันเนื่องมาจากภาวะหลอดเลือดแดงส่วนปลายขยายตัว (peripheral vasodilation) หรือกระตุ้นกระบวนการเมแทบอลิซึมระดับเซลล์มากเกินไป (over-activation of cellular metabolism) ในทางทฤษฎีการเพิ่มอุณหภูมิร่างกายควรใช้ตู้อบที่อุณหภูมิจะค่อยๆขึ้นทีละ 1 องศาเซลเซียสจนกว่าลูกสัตว์จะมีอุณหภูมิร่างกายถึง 37 องศาเซลเซียส ตู้อบนั้นควรตั้งค่าความชื้นไว้ที่ร้อยละ 55-65 สองคือการป้อนอาหารต้องทำเมื่อลูกสัตว์มีอุณหภูมิร่างกายถึง 35 องศาเซลเซียส เพราะหากอุณหภูมิต่ำกว่านี้จะโน้มนำให้เกิดภาวะลำไส้หยุดนิ่ง (intestinal stasis) และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับการย่อยอาหารต่างๆ (inhibits digestive enzymatic activity) ผลที่ตามมานมจะค้างอยู่ในกระเพาะอาหารและ/หรือไม่ย่อย ซึ่งจะทำให้ทางเดินอาหารมีสภาวะเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของแบคทีเรียแล้วนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสโลหิต (bacteremia) และเสียชีวิตได้ในที่สุด
ระดับการแห้งน้ำ (hydration status) ในลูกสุนัขแรกเกิดนั้นสามารถประเมินได้ยากเพราะการดูความยืดหยุ่นของผิวหนัง (tenting of the skin) ในสัตว์อายุน้อยยังไม่สามารถบอกอะไรได้ ระดับการแห้งน้ำสามารถทำได้โดยการประเมินความแห้งของเยื่อบุในช่องปากหรือการวัดค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะโดยใช้ refractometer (รูปภาพที่ 3) สัตวแพทย์สามารถเก็บปัสสาวะโดยการนวดบริเวณระหว่างรูทวารกับอวัยวะเพศ (perineal region) ของลูกสัตว์ด้วยสำลีชุบน้ำอุ่นแล้วเก็บตัวอย่างปัสสาวะในหลอดพลาสติกขนาดเล็ก หากพบว่าค่าความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะสูงกว่า 1.030 จะบ่งบอกว่าลูกสัตว์มีภาวะแห้งน้ำ (dehydration) แต่ในกรณีที่ไม่มี refractometer สีของปัสสาวะอาจช่วยบ่งบอกระดับการแห้งน้ำในเบื้องต้น เพราะปัสสาวะของลูกสัตว์นั้นมักใสไร้สี ดังนั้นหากพบปัสสาวะสีเหลืองเข้มแสดงว่ามีภาวะแห้งน้ำ (dehydration)
สัตวแพทย์ควรใส่ใจกับเรื่องสะดือ (umbilicus) ด้วย โดยสะดือนั้นเป็นทางหลักที่แบคทีเรียสามารถผ่านเข้าได้ (bacteria penetration) เนื่องจากหลอดเลือดดำอัมบิลิคัล (umbilical vein) นั้นจะมีจุดเชื่อมกับตับโดยตรง ส่วนหลอดเลือดแดงอัมบิลิคัล (umbilical arteries) จะเชื่อมกับหลอดเลือดแดงอิลิแอค (iliac artery) หากสายสะดือไม่ถูกทำให้แห้งและไม่ถูกตัดออกภายใน 1 สัปดาห์หลังคลอดอาจทำให้เกิดสายสะดืออักเสบ/หลอดเลือดดำที่สะดืออักเสบ (omphalitis/omphalophlebitis) และมีโอกาสติดเชื้อแบคทีเรียเข้ากระแสโลหิตได้ (bacteremia)
แม้ลูกสุนัขจะมีอายุได้หลายวันแล้ว ยังคงเป็นเรื่องคัญที่สัตวแพทย์จะต้องประเมินความผิดปกติแต่กำเนิด (congenital abnormalities) ซึ่งรวมไปถึงภาวะโพรงสมองคั่งน้ำ (hydrocephalus) เพดานโหว่ (cleft palate) และทวารหนักไร้รูเปิด (atresia ani) เป็นต้น ควรสอบถามเจ้าของว่าสังเกตเห็นอุจจาระหรือขี้เทา (meconium) ออกมาบ้างหรือไม่ ถึงแม้ว่าอาจจะสังเกตเห็นได้ยากเพราะแม่สุนัขจะทำความสะอาดลูกสุนัขตลอดก็ตาม การประเมินการทำงานของหัวใจ สัตวแพทย์อาจพบว่าลูกสุนัขมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่าปกติ (bradycardia) (100-150 ครั้งต่อนาที) ซึ่งเป็นปฏิกิริยาป้องกันตนเองที่พบได้บ่อยและสัมพันธ์กับภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายยาที่เกี่ยวกับหัวใจ
การทดสอบวินิจฉัยอื่นๆ (further diagnostic tests)
การเก็บตัวอย่างเลือด (blood sampling)
สามารถเก็บตัวอย่างเลือดได้ในสุนัขทุกช่วงอายุโดยการเจาะหลอดเลือดคอ (jugular puncture) (ใช้เข็มขนาด 23-25G) ถึงแม้ว่าจะเป็นหัตถการในลูกสัตว์แรกเกิดแต่สิ่งสำคัญที่ควรหลีกเลี่ยงคือการใช้แอลกอฮอล์บนผิวหนัง (เพื่อยับยั้งการเกิดเลือดออกหลังเก็บตัวอย่างเลือดและจะทำให้ลูกสัตว์ตัวเย็นขึ้น) และบริเวณที่เจาะเก็บเลือดหลังเจาะเสร็จควรกดไว้ก่อนอย่างน้อย 1 นาที แต่อย่างไรก็ตามการเจาะหลอดเลือดคอนั้นง่ายกว่าที่คาดไว้อีกทั้งยังค่อนข้างปลอดภัยในลูกสัตว์แรกเกิด โดยค่าอ้างอิงต่างๆสำหรับลูกสัตว์แรกเกิดนั้นจะแตกต่างไปจากสัตว์ที่โตเต็มวัย (ตารางที่ 1) การตรวจระดับน้ำตาลในกระแสโลหิต (glycemia) นั้นเป็นการตรวจที่ง่ายที่สุด (และเป็นประโยชน์ที่สุด) โดยใช้เครื่องวัดน้ำตาล (glucometer) ที่ออกแบบสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานโดยต้องการเลือดแค่เพียง 1 หยดจากใบหูหรืออุ้งเท้า (ear prick or paw) การเก็บเลือดอาจะใช้การทา petroleum jelly ที่ผิวหนังช่วยด้วยก็ได้
ตารางที่ 1 ค่าเลือดอ้างอิงสำหรับลูกสุนัขแรกเกิด (ประยุกต์จาก [5],[6],[7],[8])
| อายุ (สัปดาห์) | 1 | 2 | 3 |
|---|---|---|---|
|
Urea (g/L)
|
0.35-1.01
|
0.12-0.6 | 0.19-0.49 |
|
Creatinine (mg/L)
|
<1-7
|
2-10 | 2-7 |
|
Alkaline phosphatase (IU/L)
|
3000-7000
|
600-1300 | 110-260 |
|
Total proteins (g/L)
|
32-45
|
25-42 | 33-43 |
|
Glucose (g/L)
|
0.7-1.5
|
0.7-1.4 | 0.5-1.6 |
|
Hematocrit (%)
|
21-46
|
18-33 | 21-37 |
|
Red blood cell count (x106/µL)
|
3.6-5.9
|
3.4-4.4 | 2.8-4.3 |
| White blood cell count (x103/µL) | 4-23 |
1.7-19
|
2.1-21 |
การวินิจฉัยด้วยภาพ (diagnosis imaging)
การตรวจร่างกายโดยใช้การถ่ายภาพรังสีและอัลตราซาวด์ (radiographic and ultrasonographic examination) นั้นอาจเกิดความสับสนได้ เพราะหลายสิ่งที่เห็นจากเทคนิคเหล่านี้อาจจะเป็นความผิดปกติเมื่อเจอในสัตว์ที่โตเต็มวัยแต่กลับไม่มีนัยสำคัญในลูกสัตว์แรกเกิด (รูปภาพที่ 4) ตัวอย่างเช่น ภาวะน้ำในช่องท้อง (peritoneal effusion) อาจจะพบได้ร้อยละ 60 ของลูกสุนัขในช่วงอายุ 2 สัปดาห์แรก (และร้อยละ 30 ที่อายุ 1 เดือน) โดยไม่มีอาการแสดงทางคลินิกอื่นๆตามมา ทั้งนี้น้ำในช่องท้องจะค่อยๆหายไปได้เอง หรือที่คล้ายคลึงกันคือการขยายของกรวยไต (dilatation of the renal pelvis) ก็อาจจะพบได้ร้อยละ 40 ของลูกสุนัขอายุ 2 วัน ร้อยละ 25 ที่อายุ 7 วัน และร้อยละ 5 ที่อายุ 2 เดือนโดยไม่มีอาการแสดงทางคลินิก นอกจากนี้พบว่าเนื้อไตชั้นนอก (renal cortex) ของลูกสุนัขแรกเกิดสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชั้น (โดยชั้นนอกสุดจะมีสีเทา/ดำกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อข้างเคียง (hypoechogenic) ในขณะที่ชั้นในจะมีสีขาวกว่า) ซึ่งจะพบได้จนถึงอายุ 14 วัน และยังพบว่าเมื่อลูกสุนัขอายุครบ 21 วันเนื้อม้าม (splenic parenchyma) จะแสดงลักษณะที่เรียกว่าลายจุดเสือดาว (leopard echotexture) ซึ่งสงสัยว่าอาจจะสัมพันธ์กับการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในลูกสัตว์แรกเกิด (เป็นข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการตีพิมพ์ของผู้เขียนบทความ)
รายละเอียดเรื่องการตรวจร่างกายทางคลินิกของลูกสุนัขแรกเกิดนั้นสามารถค้นคว้าได้ทางออนไลน์ (มีทั้งภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ และเยอรมัน) สามารถอ่านได้ที่ https://neocare.pro/le-developpement-du-chiot/
การนำสัตว์เข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ – ทำไม ใคร และที่ไหน (hospitalization – why, who and where)
ทำไมถึงต้องนำสัตว์เข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ (why hospitalize?)
การนำสัตว์เข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ไม่เพียงแต่จะทำให้สัตวแพทย์สามารถทำหัตถการในการรักษาที่จำเพาะเจาะจงได้เท่านั้น (เช่น การสอดท่อให้อาหาร (orogastric intubation) การให้สารน้ำ (fluid administration) และการรักษาทางยา (drug therapy)) อีกทั้งยังช่วยให้แน่ใจว่าจะมีการเฝ้าติดตามและพยาบาลสัตว์อย่างใกล้ชิด ลูกสัตว์แรกเกิดที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงหรืออ่อนแอนั้นอาการจะแย่ลงอย่างรวดเร็วและมักจะไม่มีสัญญาณบ่งชี้ล่วงหน้า ความผิดปกติที่พบได้ในลูกสุนัขอายุน้อยส่วนใหญ่แล้วมักจะมีแบคทีเรียเข้ามาเป็นส่วนประกอบ นอกจากนี้ก็จะมีอีก 3 ปัจจัยที่จะเข้ามามีบทบาทเสริมให้ลูกสัตว์ป่วยมีอาการแย่ลง คือ ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (hypothermia), ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และการแห้งน้ำ (dehydration) การรักษาในโรงพยาบาลสัตว์จะช่วยควบคุมปัจจัยทั้ง 3 อย่างที่กล่าวมาได้ และหากไม่มีการพยาบาลสัตว์ที่เหมาะสม การรักษาทางการแพทย์ต่างๆก็จะไร้ประสิทธิภาพ นอกจากนี้การนำสัตว์เข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ยังช่วยลดความกังวลของเจ้าของ และในกรณีที่มีการเสียชีวิตเกิดขึ้นก็ยังสามารถที่จะผ่าชันสูตรหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว
สัตว์ตัวไหนที่ควรเข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ (who to hospitalize?)
การนำแม่สุนัขเข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์มีประโยชน์ช่วยลดภาระในการดูแลลูกสุนัขป่วย แต่นั่นย่อมหมายถึงการนำลูกสัตว์ทั้งครอกไปอยู่กับแม่ด้วยซึ่งรวมไปถึงลูกสุนัขที่มีอาการดีที่ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อจากโรงพยาบาลสัตว์ (nosocomial disease) นอกจากนี้ยังเป็นการยากที่จะดูแลลูกสุนัขเด็กอย่างใกล้ชิดเวลาที่มีแม่สุนัขอยู่ใกล้ๆ เช่น การให้สารน้ำเข้าทางเส้นเลือดดำ (fluid infusion) เพราะแม่สุนัขอาจเลียลูกและอาจทำให้สายน้ำเกลือหรืออุปกรณ์ต่างๆเกิดความเสียหาย โดยทั่วไปแล้วลูกสัตว์แรกเกิดที่ป่วยเท่านั้นถึงควรเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลสัตว์ แต่ถ้ามีลูกสุนัขตัวอื่นๆจากครอกเดียวกันเข้ารักษาตัวพร้อมกัน ควรที่จะแยกความแตกต่างโดยการใช้ปลอกคอคนละสี และในกรณีที่ลูกสุนัขบางตัวหรือทุกตัวในครอกเข้ามารักษาตัวพร้อมกัน สำคัญมากที่จะต้องระวังการเกิดเต้านมอักเสบ (mastitis) ในแม่สุนัขอันเนื่องมาจากขาดการดูดนมจากลูก (lack of suckling activity)
ควรนำสัตว์เข้ารักษาในโรงพยาบาลสัตว์ที่บริเวณไหน (where to hospitalize?)
ในทางทฤษฎีลูกสุนัขแรกเกิดควรอยู่ในห้องที่แยกออกจากสัตว์ป่วยอื่นๆ โดยมีออกซิเจนเตรียมไว้และต้องอยู่ในคอกที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ (thermostatically controlled pen) ทั้งนี้สามารถใช้ตู้อบสำหรับลูกสัตว์โดยตรง (puppy incubator) เครื่องอบทารกมือ 2 (รูปภาพที่ 5) ตู้ฟักไข่ของสัตว์ปีก (avian incubator) หรือแม้แต่ทำเองโดยใช้กล่องพลาสติกขนาดใหญ่ หรือตู้เลี้ยงปลาที่มีฝาปิดพอดี (แต่ต้องมีที่ให้อากาศหมุนเวียน) ข้อดีของตู้อบขนาดเล็กคือสามารถพกพาได้สะดวก (portable) ในกรณีที่โรงพยาบาลสัตว์ขาดแคลนบุคลากรในช่วงดึก สัตวแพทย์สามารถพาลูกสัตว์กลับบ้านไปรักษาได้แม้จะไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีก็ตาม ตู้อบนั้นโดยปกติจะอนุญาตให้ตั้งค่าความชื้นคงที่สูงสุดที่ร้อยละ 60 จากการศึกษาพบว่าลูกสัตว์แรกเกิดนั้นมีภาวะแห้งน้ำได้ง่ายอย่างมีนัยสำคัญโดยจะสูญเสียความชุ่มชื้นผ่านทางผิวหนังและการหายใจโดยเฉพาะเวลาหายใจแบบอ้าปาก (breath open-mouthed) ในช่วงอายุ 1 สัปดาห์แรก อุณหภูมิภายในตู้อบควรอยู่ที่ประมาณ 28-30 องศาเซลเซียส สัปดาห์ต่อมาค่อยปรับลดเหลือ 26-28 องศาเซลเซียส ทั้งนี้สามารถปรับได้ตามอุณหภูมิของลูกสัตว์แรกเกิดโดยเป้าหมายคือการให้ลูกสัตว์มีอุณหภูมิร่างกายอยู่ระหว่าง 36-38 องศาเซลเซียส สัตวแพทย์ต้องจำไว้เสมอว่าตู้อบจะให้ได้แต่ความอบอุ่น ไม่สามารถลดอุณหภูมิให้ต่ำกว่าอุณหภูมิห้องโดยรอบได้ และในกรณีที่ไม่มีตู้อบที่มีการควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ ให้ใช้เสื่อทำความร้อน (heating mats) หรือแผ่นทำความร้อนที่เข้าไมโครเวฟได้อย่างปลอดภัย (microwave-safe pads) ทดแทนได้ (หลังจากตรวจสอบอุณหภูมิตำแหน่งที่สัมผัสกับลูกสัตว์แล้ว) ไม่แนะนำให้ใช้โคมไฟอินฟราเรด (infra-red lamps)
ตู้อบและพื้นผิวสัมผัสของห้องโดยรอบควรได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้ออย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มั่นใจว่าลูกสัตว์แรกเกิดจะไม่ปนเปื้อนแบคทีเรียจากสัตว์โตเต็มวัยที่เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเช่นกัน อย่างไรก็ตามการเลือกใช้สารฆ่าเชื้อก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะสารบางอย่างสามารถก่ออันตรายกับผิวหนังของลูกสัตว์ได้ การฆ่าเชื้อนั้นยังต้องทำกับอุปกรณ์ที่ใช้ในการป้อนอาหารลูกสุนัขด้วย ได้แก่ ขวดนม (bottles) จุกนม (teats) และไซริงก์ (syringe) อีกทั้งหากมีการใช้สารทดแทนน้ำนมแม่ (milk replacer) เราจำเป็นที่จะต้องเก็บรักษาตามข้อแนะนำของผลิตภัณฑ์ (รวมไปถึงตลอดการรักษาต่อเนื่องในโรงพยาบาลสัตว์)
การรักษาทางการแพทย์และการพยาบาลสัตว์ป่วยอย่างใกล้ชิด (medical treatment and intensive care)
การแก้ไขภาวะแห้งน้ำของลูกสัตว์แรกเกิด (rehydration of neonates) สามารถทำได้โดยการให้สารน้ำเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous) เข้าทางหลอดเลือดดำ (intravenous; IV) หรือเข้าทางกระดูก (intraosseous; IO) ผ่านกระดูก femur สำหรับวิธีการให้สารน้ำ 2 วิธีสุดท้ายที่กล่าวมาในข้างต้นนั้นสำคัญมากที่จะต้องไล่อากาศออกจากสายให้น้ำเกลือ (administration set) ก่อนจะต่อเข้ากับตัวสัตว์ อีกทั้งต้องตระหนักถึงความเสี่ยงในการเกิดภาวะน้ำเกิน (fluid overload) ที่ค่อนข้างพบบ่อยในลูกสัตว์แรกเกิด (ซึ่งอาจเกิดภาวะน้ำท่วมปอดตามมา (pulmonary edema) ได้) เพราะฉะนั้นเมื่อเจอกับภาวะแห้งน้ำที่รุนแรงปานกลางถึงมาก (moderate to severe dehydration) อาจให้สารละลายไอโซโทนิก lactated Ringer’s solution (30-45 มล./กก.) เข้าทางหลอดเลือดดำในระยะเวลาสั้นๆ (bolus) ตามด้วยการให้สารน้ำเข้าหลอดเลือดดำด้วยอัตราเร็วคงที่ (continuous rate infusion; CRI) 3-4 มล./กก./ชม. (อาจเติม dextrose เข้าไปด้วยถ้าจำเป็น) [9] โดยทั่วไปแล้วสัตวแพทย์นิยมให้สารน้ำเข้าทางหลอดเลือดดำ (IV) มากกว่า [10] ส่วน catheter ที่ใช้ให้สารน้ำเข้าทางกระดูก (IO) ไม่ควรใช้ติดต่อกันเกิน 3 วันเพราะมีโอกาสเกิดภาวะกระดูกอักเสบติดเชื้อ (osteomyelitis) และการอุ่นสารน้ำนั้นไม่มีความจำเป็นเนื่องจากอัตราไหลของสารน้ำค่อนข้างช้า ดังนั้นสารน้ำที่ร้อนเมื่อผ่านสายให้น้ำเกลือก็จะค่อยๆเย็นขึ้นอยู่ดี
การรักษาภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำ (hypoglycemia) ลูกสุนัขควรจะได้รับ 12.5% dextrose เข้าทางหลอดเลือดดำในระยะเวลาสั้นๆ (50% dextrose ละลายให้เจือจางในอัตราส่วน 1:4 ) ที่ขนาด 1 มล./กก. ตามด้วยการให้สารน้ำไอโซโทนิก (Ringers) ที่เติม dextrose (1.25-5%) เข้าทางหลอดเลือดดำด้วยอัตราคงที่ (CRI) ลูกสัตว์แรกเกิดที่อยู่ในภาวะวิกฤตน้อยและมีอุณหภูมิร่างกายปกติสามารถให้สารละลาย 5-10% glucose ได้ที่ขนาด 0.25 มล./30 ก. [9] [10] สารละลายน้ำตาล (30% glucose หรือน้ำผึ้ง) สามารถให้ทางการกินเพื่อหลีกเลี่ยงภาวะน้ำตาลในกระแสเลือดต่ำได้ โดยให้ทีละหยดบนลิ้นหรือเข้าไปในช่องปาก
การรักษาทางยาในลูกสัตว์แรกเกิดนั้นยังเป็นปัญหาสำคัญ ก่อนที่จะให้ยาใดกับลูกสัตว์ควรศึกษาความปลอดภัยของการใช้ยาในลูกสัตว์ก่อนเสมอ ทั้งนี้แหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดคือตำรา textbook (เช่น [11]) ซึ่งจะดีกว่าการใช้ข้อมูลจากคำแนะนำของผู้ผลิตเพราะว่ายาส่วนใหญ่นั้นมักไม่ได้มีการทดสอบประเมินในลูกสัตว์ก่อนได้รับการอนุมัติ อีกทั้งการเจ็บป่วยของลูกสัตว์แรกเกิดนั้นหลักๆมักจะเกี่ยวข้องกับเชื้อแบคทีเรีย การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะนั้นจึงปฏิบัติกันเป็นเรื่องปกติ โดยควรให้ยาเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous) หรือเข้าทางหลอดเลือดดำ (intravenous) ก็ได้ แต่ถ้าให้ยาทางการกินในสัตว์ขนาดเล็กก็ควรใช้เป็นยาน้ำเพื่อลดความเสี่ยงในการคุมขนาดยาไม่ได้ (uncontrolled dosage) หรือให้ยาผิดขนาด (mis-dosing) อย่างไรก็ตามยาปฏิชีวนะบางอย่างที่ให้ทางการกิน (โดยเฉพาะ ampicillin metronidazole และ amoxicillin) อาจส่งผลต่อจุลชีพที่ดีในทางเดินอาหาร (digestive flora) (อย่างน้อยก็ชั่วคราว) และเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะท้องเสียได้ ยาปฏิชีวนะที่เป็นตัวเลือกแรก (first choice antibiotics) ของผู้เขียนคือ ampicillin/amoxicillin และ amoxicillin-clavulanic acid ตามด้วยยาบางตัวในกลุ่ม macrolides (erythromycin tylosin) และ cephalexin หรือ ceftiofur ส่วนยาปฏิชีวนะอื่นที่มีผลข้างเคียงที่ทราบกันดี (เช่น ยากลุ่ม aminoglycosides ที่เป็นพิษต่อไต และยากลุ่ม tetracyclines ที่จะเปลี่ยนสีของชั้นเคลือบฟัน (discolor tooth enamel) อาจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก่อนใช้ โดยสามารถใช้ได้เพียงแค่ระยะสั้นๆ และใช้เมื่อตอนที่ยาปฏิชีวนะกลุ่มอื่นๆไม่ได้ผล (เช่น อาการแสดงทางคลินิกไม่ดีขึ้นหลังจากรักษามาแล้ว 3 วัน) หรือมีข้อบ่งชี้จากผลเพาะเชื้อ (antibiogram results)
ในทางทฤษฎี ลูกสุนัขที่รักษาตัวในโรงพยาบาลสัตว์ควรอยู่ในตู้อบที่คงไว้ซึ่งอุณหภูมิสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมและความชื้นที่เหมาะสมกับลูกสัตว์แรกเกิด
การพยาบาลลูกสัตว์ (puppy nursing)
การประสบความสำเร็จในการรักษาทั้งทางยาและการผ่าตัดนั้นจะขึ้นอยู่กับคุณภาพในการพยาบาลสัตว์ป่วย โดยนอกเหนือจากการให้ยาฉีดเข้าสู่ร่างกายและการให้สารน้ำ ลูกสุนัขยังต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดมากกว่าสัตว์อายุมาก ได้แก่ การชั่งน้ำหนักทุกวัน (daily weighing) การป้อนอาหารถี่ (frequent feeding) และการกระตุ้นการขับถ่าย (induction of defecation/micturition) ยังไม่รวมถึงการถ่ายพยาธิตามโปรแกรม (scheduled worm treatments) ซึ่งทีมพยาบาลจะได้ประโยชน์อย่างมากหากมีการฝึกฝนที่จำเพาะเกี่ยวกับการประเมินและดูแลลูกสัตว์แรกเกิด สารอาหารที่เหมาะสมนั้นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน การให้อาหารสามารถทำได้ทั้งการใช้ขวดนมหรือสอดสายยาง (ตารางที่ 2) แต่ต้องตรวจวัดอุณหภูมิทางทวารหนัก (rectal temperature) เสียก่อน (จะเริ่มให้อาหารก็ต่อเมื่อลูกสัตว์มีอุณหภูมิ >35 องศาเซลเซียส) และต้องประเมินกระเพาะอาหาร (stomach assessed) (โดยจะให้อาหารก็ต่อเมื่อกระเพาะอาหารว่างลงแล้ว) ในกรณีที่กระเพาะอาหารไม่ว่างแม้จะผ่านไปแล้ว 4 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ให้อาหารมื้อสุดท้าย ให้ตรวจสอบว่าลูกสัตว์มีปัญหาอุณหภูมิต่ำ (hypothermia) หรือไม่ หรือลูกสัตว์ขับถ่ายแล้วหรือยัง ถ้ามีอุจจาระอยู่เต็มในทวารหนัก การกระตุ้นอุจจาระ (defecation) สามารถทำได้โดยการใช้ปลายปรอท (thermometer)
ตารางที่ 2 ตัวเลือกในการให้อาหารในลูกสุนัขแรกเกิด (feeding options for neonatal puppies)
| ข้อดี | ข้อเสีย | |
|---|---|---|
| การให้อาหารด้วยขวดนม (bottle feeding) |
• ลูกสัตว์แรกเกิดสามารถกินอาหารได้เต็มที่ (ad libitum)
• เป็นกิจกรรมที่ผ่อนคลายไม่ต้องจับบังคับมากสำหรับลูกสัตว์
• กระตุ้นให้เกิดการย่อยอาหาร
|
• ใช้เวลานาน
• มีโอกาสสำลัก
• ไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่มีปฏิกิริยาการดูด (suckling reflex is absent)
• ไม่แนะนำในกรณีที่มีปัญหาเพดานโหว่ (cleft palate)
|
| การให้อาหารทางสายยาง (tube feeding) |
• รวดเร็ว
• สามารถทำได้แม้ในกรณีที่ไม่มีปฏิกิริยาการดูด (suckling reflex)
• ปลอดภัยในลูกสุนัขที่มีปัญหาเพดานโหว่ (cleft palate)
|
• มีความเสี่ยงที่อาหารจะเข้าไปในระบบทางเดินหายใจ (เกิดได้น้อย)
• ต้องอาศัยความชำนาญ (แต่ง่าย)
• มีความเสี่ยงที่จะให้อาหารมากเกินไปและอาจเกิดการอาเจียน/ขย้อน (vomit/regurgitation)
|
อาการแสดงทางคลินิกที่ดีขึ้นของลูกสุนัขป่วยนั้นมักแสดงให้เห็นในขั้นต้นด้วยการที่ลูกสุนัขหยุดร้องต่อเนื่อง ดูมีชีวิตชีวาขึ้น (improve vitality) และอุณหภูมิที่วัดได้ทางทวารหนักนั้นอยู่ในเกณฑ์ปกติ (normalization of rectal temperature) ทั้งนี้สัตวแพทย์จะมั่นใจได้มากขึ้นหากลูกสุนัขที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสัตว์เริ่มมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นภายใน 1 วันหรือทุกวัน นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องไม่ละเลยเจ้าของผู้ซึ่งเป็นห่วงลูกสัตว์เหล่านี้มาก โดยต้องแน่ใจว่าเจ้าของจะได้รับการแจ้งข้อมูลสถานะของลูกสัตว์ป่วยอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 1 ครั้งหรือ 2 ครั้งต่อวัน การส่งแผนภูมิน้ำหนัก (weight charts) รูปถ่ายหรือคลิปวิดีโอสั้นๆของลูกสุนัขจะช่วยให้เจ้าของได้รับข้อมูลล่าสุดโดยไม่ต้องเสียเวลามาก และทีมพยาบาลสามารถมีบทบาทสำคัญในการสื่อสารนี้ได้
การรักษาต่อเนื่อง – การดูแลพยาบาลสัตว์ป่วยที่บ้าน? (continuing treatment – home hospitalization?)
ถึงแม้ว่าลูกสุนัขแรกเกิดจะมีพันธุ์ประวัติที่ดี (valuable pedigree) และมีราคาแพง แต่บ่อยครั้งนั้นก็ยากที่จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายสำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาลสัตว์ (โดยเฉพาะถ้าเป็นสุนัขพันธุ์ผสมหรือสุนัขจรจัด) เพราะฉะนั้นการดูแลพยาบาลสัตว์ต่อที่บ้านอาจจะเป็นทางเลือกหลังจากการรักษาตัวเบื้องต้นในโรงพยาบาลสัตว์ ทั้งนี้สามารถทำได้โดยการให้ความรู้กับเจ้าของ ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับนักผสมพันธุ์สัตว์ (breeders) เนื่องจากพวกเขามักจะมีเวลา มีแรงจูงใจที่สูง และมักจะมีตู้อบ (incubator) เป็นของตัวเอง ค่าใช้จ่ายต่างๆก็จะลดลงและยังลดความเสี่ยงของการติดเชื้อในโรงพยาบาลด้วย (nosocomial infection reduced) การฝึกเจ้าของให้มีทักษะพื้นฐาน (เช่น การให้น้ำเกลือเข้าใต้ผิวหนัง (subcutaneous injections), การวัดความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ (urine SG measurement) และการให้อาหารผ่านสายยาง (tube feeding)) (กล่องข้อความที่ 1) นั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์และคุ้มค่า เมื่อลูกสุนัขกลับบ้านแล้ว สัตวแพทย์สามารถติดตามอาการได้ผ่านทางโทรศัพท์ทุกวันโดยใช้ทีมพยาบาลเข้ามาช่วยได้
กล่องข้อความที่ 1 การให้อาหารทางสายยางอย่างปลอดภัย (safe tube feeding)
- เลือกสายยางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5 มม. สำหรับสัตว์ที่มีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 300 กรัม และเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.6-3.3 มม. ถ้าน้ำหนักมากกว่า 300 กรัม .
- ประเมินความยาวที่ถูกต้องที่จะสอดสายยางเข้าไปโดยวัดระยะห่างระหว่างคางของลูกสุนัขจนถึงปุ่มกระดูกข้อศอก (point of elbow) ใช้ปากกาสักลาดทำสัญลักษณ์ไว้
- ใช้ไซริงก์ดูดน้ำนมอุ่น 37 องศาเซลเซียส ปริมาณสูงสุด 4-5 มล./น้ำหนักตัว 100 กรัม
- ต่อสายยางเข้ากับไซริงก์แล้วเติมนมเข้าไปสายยาง ให้แน่ใจว่าไล่อากาศออกจากสายยางได้หมด
- จับลูกสัตว์ในท่านอนหงาย (ventral recumbency) ให้ศีรษะกับลำตัวอยู่ในแนวเดียวกัน ค่อยๆเปิดปากโดยการกดที่มุมปาก จับหัวให้ตรงและค่อยๆสอดสายยางเข้าไปในช่องปาก (รูปภาพที่ 6)
- เมื่อสายยางผ่านเข้าทางคอหอย (pharynx) ได้แล้ว ลูกสัตว์แรกเกิดจะถูกกระตุ้นให้เกิดการกลืน (ซึ่งควรจะมีแม้แต่ในลูกสุนัขที่อ่อนแอมากๆก็ตาม) ทั้งนี้จะต้องไม่มีปฏิกิริยาการไอ (cough reflex) โดยเด็ดขาดถึงแม้ว่าสายยางจะเข้าหลอดลม (trachea) จนกว่าลูกสุนัขจะอายุได้ 6-10 วัน
- เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขย้อน (regurgitation) ปริมาณของน้ำนมจะต้องถูกจำกัดไม่ให้เกิน 4-5 มล./น้ำหนักตัว 100 กรัม และต้องให้มากกว่า 1-2 นาที เพื่อให้กระเพาะอาหารค่อยๆถูกเติมให้เต็ม
- หลังจากให้อาหารเสร็จแล้ว ให้พับสายยางครึ่งนึงเพื่อให้น้ำนมหยุดไหลก่อนจะถอนสายยางออก
- สายยางให้อาหารควรทำความสะอาดทันทีด้วยน้ำอุ่นและสารทำความสะอาด (detergent) จากนั้นล้างให้สะอาดและเช็ดให้แห้งก่อนจะเก็บในสถานที่ที่สะอาดจนกว่าจะถึงมื้อถัดไป
- น้ำนมทดแทนสำหรับลูกสุนัข (artificial milk replacer) ควรจะทำการเตรียมใหม่ทุกครั้งที่จะให้อาหาร
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในลูกสัตว์แรกเกิด (main causes of neonatal mortality)
ในกรณีที่ลูกสุนัขเสียชีวิต การผ่าชันสูตรพลิกศพซาก (necropsy) ตามด้วยการศึกษาทางแบคทีเรียวิทยา (bacteriological) จุลพยาธิวิทยา (histological) และ/หรือตรวจ PCR จะสามารถช่วยให้เราทราบถึงสาเหตุของการเสียชีวิตได้ ซึ่งบ่อยครั้งมักเกิดจากหลายปัจจัย (multi-factorial) (กล่องข้อความที่ 2) มีจุลินทรีย์ก่อโรคจำเพาะ (specific pathogens) หลายตัวที่เกี่ยวข้องกับภาวะการเสียชีวิต (ตารางที่ 3) แต่การติดเชื้อแบคทีเรียฉวยโอกาสที่ไม่จำเพาะ (non-specific opportunistic bacterial infections) ก็อาจนำไปสู่การติดเชื้อในกระแสโลหิต (septicemia) และถูกพิจารณาว่าเป็นสาเหตุของการตายในลูกสัตว์แรกเกิดร้อยละ 40-65 [12] [13] ลูกสัตว์แรกเกิดมักติดเชื้อหลักผ่านทางการกิน (oral route) และ/หรือรูเปิดเส้นเลือดสายสะดือ (open umbilical vessels) การติดเชื้อในกระแสโลหิตนั้นจะพัฒนาขึ้นกับการได้รับแบคทีเรียเข้าสู่ร่างกาย (ทั้งจากสภาพแวดล้อมหรือจากแม่สุนัข) และ/หรือความอ่อนแอของตัวลูกสัตว์แรกเกิดเองหรือที่เรียกว่ากลุ่มอาการ 4H (4H syndrome) ได้แก่ ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (hypothermia)-ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)-ภาวะพร่องออกซิเจน (hypoxia)-ภาวะของเหลวในร่างกายพร่อง (hypovolemia) นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย เช่น การติดพยาธิ (โดยเฉพาะพยาธิตัวกลม (roundworms) พยาธิปากขอ (hookworms) และคอกซิเดีย (coccidia)) ซึ่งพยาธิก็เป็นปัจจัยหลักที่สามารถส่งผลโดยตรงทำให้เกิดการแย่งชิงสารอาหาร (direct competition for nutrient) และ/หรือก่อให้เกิดการท้องเสีย การติดเชื้อพยาธิ (parasitism) สามารถส่งผลทางอ้อมให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียในกระแสโลหิต (bacteremia) ได้ด้วย เช่น ตัวอ่อนพยาธิ Toxocara ที่สามารถเคลื่อนที่ผ่านออกจากทางเดินอาหารไปสู่ปอดผ่านทางตับได้ มีโอกาสจะทำให้แบคทีเรียในทางเดินอาหารแพร่กระจายเข้าสู่อวัยวะอื่นๆทั่วร่างกาย สุดท้ายนี้การได้รับการบาดเจ็บก็อาจเป็นสาเหตุได้ด้วยเช่นกัน อีกกรณีนึงที่อาจเป็นสาเหตุได้โดยไม่ได้ตั้งใจคือการที่เจ้าของสัตว์ป้อนนมอย่างรุนแรงหรือไม่อดทนพอ โดยเฉพาะว่ากรณีนี้อาจจะเกิดขึ้นกับลูกสัตว์แรกคลอดที่ร่างกายอ่อนแอทำให้ปฏิกิริยาการกลืน (swallowing reflex) ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ จึงเป็นสาเหตุทำให้สำลักนมได้ (inhalation of milk injuries) อุบัติเหตุที่เกิดจากแม่สุนัขก็มีความเป็นไปได้เช่นเดียวกัน โดยลูกสัตว์แรกเกิดอาจโดนทับหรือกัดโดยแม่สุนัขซึ่งอาจจะเกิดจากพฤติกรรมความเป็นแม่ที่ไม่เหมาะสม แต่ทั้งนี้ความอ่อนแอของลูกสัตว์แรกเกิดเอง (จากภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) และภาวะอุณหภูมิต่ำ (hypothermia)) ก็มักเป็นปัจจัยกระตุ้นเบื้องต้น
กล่องข้อความที่ 2 ปัจจัยโน้มนำให้เกิดการตายในลูกสัตว์แรกเกิด (factors predisposing to death in newborn puppies)
|
ติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน (opportunistic bacteria) -> ติดเชื้อในกระโลหิต (septicemia)
|
|
กลุ่มอาการ 4H (4H syndrome): ภาวะอุณหภูมิร่างกายต่ำ (hypothermia)-ภาวะของเหลวในร่างกายพร่อง (hypovolemia)-ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia)-ภาวะพร่องออกซิเจน (hypoxia)
|
| จุลินทรีย์ก่อโรคที่มีความจำเพาะ (specific pathogens) |
| การบาดเจ็บ (trauma) |
| ความผิดปกติแต่กำเนิด (congenital abnormalities) |
| การติดเชื้อพยาธิ (parasite burden) |
ตารางที่ 3 การติดเชื้อจำเพาะเจาะจงที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลูกสัตว์แรกเกิด (อายุ 0-21 วัน) (specific infectious causes of neonatal death; 0-21 days of life)
| ไวรัส (viruses) | แบคทีเรีย (bacteria) | ปรสิต (parasites) |
|---|---|---|
|
• CHV1(Canine Herpesvirus)
• CPV1 (Canine Parvovirus type 1)
• CDV (Canine Distemper Virus)
• CCoV (Canine Coronavirus)
• CAV2 (Canine Adenovirus type 2)
|
• Brucella spp.
• Salmonella spp.
• Campylobacter jejuni
• Bordetella bronchiseptica
|
• Neospora caninum
• Toxocara canis
• Ancylostoma spp
|
การผ่าชันสูตรพลิกศพซากและการทดสอบเพิ่มเติม (necropsy and complementary tests)
ในกรณีที่ลูกสุนัขเสียชีวิต มีความสำคัญอย่างมากที่จะทำการผ่าชันสูตรซาก แต่ก็มีปัจจัยบางประการที่อาจส่งผลสำคัญต่อการลดคุณภาพของการผ่าชันสูตรพลิกศพซาก เช่น ในกรณีที่ไม่สามารถชันสูตรพลิกศพซากได้ทันทีหลังจากการเสียชีวิต ซากลูกสุนัขควรเก็บไว้ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียส ส่วนการแช่แข็งนั้นไม่เหมาะสมเนื่องจากจะไปรบกวนการศึกษาทางจุลพยาธิวิทยา (histopathology) และอาจทำให้ผลการตรวจซากด้วยตาเปล่า (gross examination) หลังจากละลายน้ำแข็งเกิดความสับสนได้ การสังเกตซากด้วยตาเปล่า (gross observation) นั้นจะแสดงให้เห็นหลักฐานที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิต ยกตัวอย่างเช่น อาจจะแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของการย่อยนม (failure to ingest milk) (โดยจะพบกระเพาะอาหารและลำไส้ที่ว่างเปล่า ถุงน้ำดีเต่ง มีขี้เทาคงค้าง (meconium retention)) เจอความผิดปกติแต่กำเนิดที่สำคัญ (congenital abnormality) (เช่น ลำไส้เล็กส่วนเจจูนัมไร้รูเปิดแต่กำเนิด (atresia jejuni)) หรือการเจอก้อนพยาธิขนาดใหญ่ (โดยอาจเห็นพยาธิในลำไส้หรือเจอแผลนูนที่ตับ (hepatic scars) ซึ่งบ่งบอกถึงการชอนไชของตัวอ่อนพยาธิ Toxocara ) ภาพถ่ายของอวัยวะต่างๆหลังการเสียชีวิตจะช่วยให้สามารถทำการวิเคราะห์ย้อนหลังได้ (retrospective analysis) บ่อยครั้งพบว่าไม่มีรอยโรคจำเพาะเมื่อทำการชันสูตรพลิกศพแต่ควรเก็บตัวอย่างไปทำการทดสอบอื่นๆเพิ่มเติม ได้แก่ การศึกษาทางแบคทีเรียวิทยา (bacteriology) จุลพยาธิวิทยา (histology) PCR และปรสิตวิทยา (parasitology) ซึ่งจะช่วยให้เราหาสาเหตุของการเสียชีวิตได้
การเพาะเชื้อทางแบคทีเรียวิทยา (bacteriological culture) สามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อมีการผ่าชันสูตรพลิกศพซากหลังการตายไม่เกิน 6 ชั่วโมง เพราะไม่เช่นนั้นแบคทีเรียจะออกจากทางเดินอาหารและปนเปื้อนกับอวัยวะอื่นๆ วิธีคือให้ใช้ไม้ป้ายที่ปราศจากเชื้อ (sterile swab) ป้ายเข้าไปลึกๆในเนื้อเยื่อม้าม (splenic parenchyma) แล้วเก็บใน vial ที่ปราศจากเชื้อเช่นกัน ระมัดระวังการปนเปื้อนขณะเปิดผ่าเข้าช่องท้อง หรือจะเก็บเนื้อเยื่อม้ามทั้งชิ้นด้วยวิธีปราศจากเชื้อก็ได้เช่นกัน ในกรณี่จำเป็นอาจเก็บตัวอย่างในตู้เย็นก่อนส่งไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อวิเคราะห์ภายใน 24 ชั่วโมง
เนื้อเยื่อที่จะใช้ศึกษาทางจุลพยาธิวิทยา (histology) ควรเก็บใน 10% formalin (3.4% formaldehyde) โดยตัวอย่างไม่ควรหนามากกว่า 5 มม. และต้องผ่านกระบวนการ (ใช้เทคนิค paraffin-embedded) ภายใน 7 วันหลังจากเก็บตัวอย่างเพื่อให้การแปลผลของห้องปฏิบัติการทางพยาธิวิทยา (pathology laboratory) มีความแม่นยำที่สุด
การศึกษาทางปรสิตวิทยา (parasitology assessment) สามารถทำได้โดยการตรวจของที่อยู่ภายในลำไส้และทวารหนักด้วยตาเปล่า (gross examination of intestinal and rectal contents) แต่ก็สามารถใช้ตัวอย่างทางจุลพยาธิวิทยาช่วยได้เช่นกัน (เช่น พยาธิ Neospora และ Toxoplasma)
สุดท้ายนี้ ในกรณีที่ซากถูกแช่แข็งก่อนจะทำการผ่าชันสูตรพลิกศพและ/หรือมีสัญญาณแสดงถึงการเน่าเปื่อยของร่างกาย การใช้วิธี PCR จะเป็นทางเลือกในการตรวจสอบซากวิธีเดียวที่สามารถเชื่อถือได้ วิธี quantitative (real time) PCR จะสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับเชื้อที่ก่อโรค (infectious agents) ดีที่สุด
สรุป (conclusion)
การดูแลลูกสุนัขแรกเกิดที่ป่วยนั้นจะขึ้นอยู่กับการพยาบาลที่เหมาะสม การให้สารน้ำเข้าสู่ร่างกายและการรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะมากกว่าการรักษาทางการแพทย์ที่เจาะจงอื่นๆ การรักษาที่รวดเร็วนั้นจะเป็นกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จร่วมด้วยกับการป้องกันโรคที่เหมาะสมสำหรับลูกสัตว์ร่วมครอก (littermates) ทั้งหมด ในหลายๆกรณีอาการแสดงทางคลินิกก่อนการเสียชีวิตจะเกิดในช่วงระยะเวลาสั้นๆ และจะมีอาการคล้ายคลึงกันไม่ว่าจะมีสาเหตุเกิดจากอะไรก็ตามและการรักษามักจะไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นสัตวแพทย์จึงควรใช้แนวทางเชิงรุกเพื่อควบคุมการเสียชีวิตของลูกสัตว์แรกเกิด และการไปเยี่ยมชมสถานที่เพาะพันธุ์สุนัขนั้นจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการระเมินระบบการจัดการระหว่างคลอด ทั้งนี้สัตวแพทย์ควรให้ความสำคัญกับการตั้งท้องและการจัดการตอนคลอด (pregnancy and whelping management) การฟื้นฟู (revival) และสารอาหารสำหรับลูกสัตว์แรกเกิด การรักษาสุขอนามัย และสภาวะแวดล้อมต่างๆ
Sylvie Chastant
DVM, PhD, DiplECARE
สาธารณรัฐฝรั่งเศส
Sylvie CHASTANT เป็นสัตว์แพทย์ชาวฝรั่งเศสผู้มีความสนใจในงานสอนและการวิจัยประยุกต์ในด้านการสืบพันธุ์ เธอได้พัฒนางานวิจัยเกี่ยวกับสุนัขแรกเกิดและกุมารเวชศาสตร์ภายในทีมที่เปี่ยมไปด้วยพลังชื่อว่า Neocare ซึ่งอุทิศตัวให้กับการวิจัยเกี่ยวกับการสืบพันธุ์, สัตว์แรกเกิด, อายุรศาสตร์ของสัตว์แม่ลูกอ่อน โดยให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับน้ำนมเหลือง (colostrum) น้ำนม น้ำหนักแรกเกิดและปัจจัยการอยู่รอดในลูกสุนัขและลูกแมว
แหล่งอ้างอิง
- Chastant-Maillard S, Freyburger L, Marcheteau E, et al. Timing of the intestinal barrier closure in puppies. Reprod. Dom. Anim. 2012;47(6);190-193.
- Chastant-Maillard S, Mila H. Passive immune transfer in puppies. Anim. Reprod. Sci. 2019;207;162-170.
- Lecarpentier M, Martinez C. La croissance du chiot entre 0 et 2 mois: tablissement de courbes de croissance de rfrence par race. Thesis, cole Nationale Vtrinaire De Toulouse, 2017
- Mila H, Grellet A, Delebarre M, et al. Monitoring of the newborn dog and prediction of neonatal mortality. Prev. Vet. Med. 2017;143:11-20.
- Levy JK, Crawford PC, Werner LL. Effect of age on reference intervals of serum biochemical values in kittens. J. Am. Vet. Med. Assoc. 2006;228(7);1033-1037.
- Rrtveit R, Saevik BK, Eggertsdttir AV, et al. Age-related changes in hematologic and serum biochemical variables in dogs aged 16-60 days. Vet. Clin. Pathol. 2015;44(1):47-57.
- Rosset E, Rannou B, Casseleux G, et al. Age-related changes in biochemical and hematologic variables in Borzoi and Beagle puppies from birth to 8 weeks. Vet. Clin. Pathol. 2012;41(2):272-282.
- Von Dehn B. Pediatric clinical pathology. Vet. Clin. North Am. Small Anim. Pract. 2014;44(2):205-219.
- Bowles D. Care Of The Canine And Feline Neonate: Part 2. 2010. https://www.Dvm360.Com/View/Care-Canine-And-Feline-Neonate-Part-2-Proceedings
- Wilborn RR. Small animal neonatal health. Vet. Clin. North Am. Small Anim. Pract. 2018;48(4):683-699.
- Petersen ME, Kutzler MA. Small Animal Pediatrics; The First 12 Months Of Life. 2011. St. Louis, MI, WB Saunders.
- Meloni T, Martino P, Grieco V, et al. A survey on bacterial involvement in neonatal mortality in dogs. Vet. Ital. 2014;50(4):293-299.
- Munnich A, Kuchenmeister U. Causes, diagnosis and therapy of common diseases in neonatal puppies in the first days of life: cornerstones of practical approach. Reprod. Dom. Anim. 2014;49 (Suppl. 2);64-74; DOI: 10.1111/Rda.12329