โรคที่พบได้บริเวณปลายจมูกของแมว

สามารถอ่านได้ใน Christina Gentry

สัตวแพทย์หญิง Christina Gentry ได้อธิบายถึงวิธีการในการวินิจฉัยแยกแยะและรักษาเมื่อพบรอยโรคบริเวณจมูกแมวที่มีความท้าทายต่อสัตวแพทย์ (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)

Article

Reading time5 - 15 min
แมวเพศเมีย พันธุ์DSH ทำหมันแล้ว อายุ 10 ปีมีประวัติพบรอยโรคที่บริเวณจมูกและรอบปาก ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น Squamous cell carcinoma จากการตรวจชิ้นเนื้อ

ประเด็นสำคัญ

Group 15 1

รอยโรคบริเวณปลายจมูกส่วนไร้ขน(nasal planum)อาจพบเดี่ยวๆหรือร่วมกับรอยโรคอื่นได้.

Group 15 2

การมีอยู่ของรอยโรคอื่นจะช่วยให้การวินิจฉัยแยกแยะโรคทำได้ง่ายขึ้น.

Group 15 3

วิธีการวินิจฉัยที่นิยมได้แก่ superficial impression cytology และ biopsy.

Group 15 4

ความผิดปกติที่เป็นผลข้างเคียงจากมะเร็ง(paraneoplastic disorder) โรคติดเชื้อ และโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตนเองสามารถแสดงอาการทางระบบได้เช่นเบื่ออาหารและอ่อนแรง.

บทนำ

โรคของจมูกและสันจมูกพบได้ไม่บ่อยจนถึงน้อยมากในแมว อาการของโรคบางอย่างส่งผลให้เกิดความผิดปกติทั้งที่บริเวณปลายจมูกส่วนที่ไร้ขน(nasal planum และ nasal philtrum)และส่วนสันจมูกที่มีขนปกคลุมได้ ในขณะที่โรคบางอย่างจะส่งผลต่อบริเวณ nasal planum เท่านั้น โรคที่ทำให้เกิดรอยโรคบริเวณจมูกได้แก่มะเร็ง ปรสิต โรคภูมิคุ้มกันตนเอง โรคติดเชื้อ พันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และโรคที่หาสาเหตุไม่ได้(idiopathic) โรคที่ส่งผลต่อบริเวณ nasal planum อาจขยายไปสู่บริเวณโดยรอบรวมถึงตำแหน่งที่อยู่ห่างออกไป จุดมุ่งหมายของบทความนี้คือการสรุปพยาธิกำเนิด การวินิจฉัย ทางเลือกในการรักษาและการพยากรณ์โรคที่สัตวแพทย์มีโอกาสพบได้บ่อย

โรคมะเร็งและโรคที่เป็นผลข้างเคียงของมะเร็ง

Squamous cell carcinoma

Squamous cell carcinoma หรือ SCC พบได้บ่อยในแมวคิดเป็นร้อยละ 15 ของเนื้องอกบริเวณผิวหนังของแมวทั้งหมด [1] SCC ที่ผิวหนังมักพบบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะส่วนที่มีขนน้อยของปลายหู สันจมูก เปลือกตา และส่วนที่ปราศจากขนอย่าง nasal planum(รูป 1) พยาธิกำเนิดของโรคเกิดจากการถูกรังสี UV เป็นเวลานาน โดยแมวขนสีขาวหรือสีอ่อนจะมีความเสี่ยงสูงจากการที่มีปริมาณแสง UVB ไปถึงผิวหนังได้มากกว่า [2] รอยโรคแรกเริ่มมักพบรอยที่คล้ายอาการบาดเจ็บหรือรอยข่วนที่ไม่หาย [3] ซึ่งเรียกว่า actinic keratosis(รอยโรคระยะก่อนเป็นมะเร็งจากการถูกแสงแดดเป็นเวลานาน) จากนั้นจึงเป็น SCC in situ ตามมาด้วย SCC สามารถพบรอยโรคแบบผสมได้พร้อมกันแต่โดยมากจะมีการอักเสบและมีสะเก็ดอยู่เหนือผิวหนังที่แดง ขนร่วง ผิวหนังหลุดลอก [3] ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่พบอาจแตกต่างกันไปตั้งแต่ไม่กี่มิลลิเมตรจนถึงหลายเซนติเมตร บริเวณรอยโรคอาจมีเลือดออกได้ บางครั้งในรายที่มะเร็งมีความรุนแรงมากอาจพบก้อนเนื้อ papillary หรือ fungiform ร่วมด้วย

การวินิจฉัยมักทำโดยการตัดชิ้นเนื้อออกหมดเพื่อไปตรวจ(biopsy excision) บริเวณ nasal planum สามารถทำ punch biopsy ได้ (ดูในกล่องข้อความที่ 1) ในขณะที่การทำ margin / shave biopsy อาจมีประโยชน์มากกว่าสำหรับบริเวณปลายหู การที่รอยโรคทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของชั้น epidermis ส่งผลให้การเก็บตัวอย่างด้วยวิธี fine needle aspiration อาจไม่ช่วยในการวินิจฉัยรอยโรคที่มีขนาดเล็ก ลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาของ SCC ที่มีการกระจายตัวดีจะพบ trabeculae และ island ของ epidermal cell แทรกเข้าไปอยู่ในชั้น dermis รอยโรคเหล่านี้จะพบ keratinocyte ที่ยังไม่เจริญเต็มที่อยู่บริเวณขอบรอยโรคและค่อยๆกลายเป็น keratinized epidermal cell เมื่อเข้ามาสู่จุดศูนย์กลางของรอยโรคมากขึ้น epidermal cell เหล่านี้จะจับตัวกันเป็น “pearl” ที่สามารถพบได้ตรงกลางของ epidermal island [3

 

กล่องข้อความที่ 1 เทคนิคในการเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อบริเวณ nasal planum
  • การเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อบริเวณ nasal planum ควรวางยาสลบทั่วทั้งตัวหรือวางยาซึมค่อนข้างลึก
  • ไม่ควรทำความสะอาดบริเวณที่ทำการเก็บตัวอย่างเพราะสะเก็ดต่างๆสามารถใช้วินิจฉัยได้
  • ขนาดตัวอย่างที่เหมาะสมในการทำ punch biopsy อยู่ที่ 4 มิลลิเมตร
  • เก็บตัวอย่างผิวหนังบริเวณอื่นที่มีความผิดปกติเพื่อผลการวินิจฉัยที่แม่นยำยิ่งขึ้น
  • การส่งตัวอย่างไปห้องปฏิบัติการเพื่อวินิจฉัยควรมีผลการซักประวัติ การตรวจร่างกาย และรูปถ่ายประกอบ
 

 

SCC ที่พบบริเวณใบหน้ามีอัตราการแพร่กระจายต่ำ [4] และการรักษาโดยมากมุ่งไปที่รอยโรคแต่ละจุด แนะนำให้ทำการหาระยะของเนื้องอก(staging)ก่อนทำการรักษาซึ่งประกอบไปด้วยการตรวจเลือด การเจาะดูดต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง และการถ่ายภาพรังสีช่องอก แนวทางในการรักษา SCC ที่บริเวณใบหน้าสามารถผ่าตัด ฉายรังสี และการฉีดเคมีบำบัดเข้าที่ก้อนเนื้อ การผ่าตัดแบบยกก้อนเนื้อออกหมดสามารถทำได้เกือบทุกกรณีของ SCC ที่พบบริเวณใบหน้า [4] แต่การผ่าตัดนำเนื้องอกที่มีขนาดใหญ่บริเวณ nasal planum ออกอาจนำไปสู่การผิดรูปของใบหน้าได้ ในกรณีดังกล่าวอาจใช้วิธีฉายรังสีโดยใช้ strontium-90 brachytherapy สำหรับรอยโรคที่อยู่ลึกน้อยกว่า 3 มิลลิเมตรและ strontium-90 teletherapy สำหรับรอยโรคที่อยู่ลึกกว่านั้น [5] อยโรคขนาดเล็กที่สามารถผ่าตัดออกได้หมดจะให้ผลการรักษาที่ดีที่สุดและการฉายรังสีบำบัดในรอยโรคที่มีขนาดเล็กสามารถเพิ่มระยะเวลาปลอดโรคได้หลายเดือนถึงหลายปี [5] รอยโรคที่มีการลุกลามมักพบการกลับมาเป็นซ้ำได้สูง 

รอยโรคที่เป็นผลข้างเคียงจากมะเร็ง(paraneoplastic lesions)

ขนร่วงที่เป็นผลข้างเคียงจากมะเร็งเป็นกลุ่มอาการหายากที่มีรายงานว่าพบในแมว พยาธิกำเนิดยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดแต่เกือบทุกกรณีเป็นผลข้างเคียงของมะเร็งที่มีความรุนแรงซึ่งมีจุดกำเนิดที่ตับอ่อน ลำไส้เล็ก ตับหรือท่อน้ำดี [6] อาการที่แสดงออกโดยทั่วไปคืออ่อนแรง น้ำหนักลด และความอยากอาหารลดลงในแมวสูงอายุที่เคยสุขภาพดี อาการทางผิวหนังจะเด่นชัดซึ่งพบการหลุดร่วงอย่างรวดเร็วของเส้นขนบริเวณท้องลามมายังบริเวณขาและใบหน้า ผิวหนังที่ขนร่วงไปแล้วจะมีลักษณะอ่อนนุ่มซึ่งอาจพบสิ่งคัดหลั่งสีน้ำตาลที่เกิดจากผิวหนังอักเสบแบบทุติยภูมิจากเชื้อ Malassezia dermatitis [7] บริเวณฝ่าเท้าและ nasal planum มีลักษณะนุ่มและมันวาว ในขณะที่สันจมูกอาจพบขนร่วงได้ 

การพยากรณ์โรคไม่ค่อยดีเพราะมักเกิดการแพร่กระจายของมะเร็งไปยังต่อมน้ำเหลือง ตับ และปอดก่อนที่จะพบอาการขนร่วงหรือชั้นผิวที่เรียงตัวผิดปกติบริเวณ nasal planum แล้ว [6] [7] แนะนำให้ทำการรักษาประคับประคองอาการหรือการทำการุณยฆาตในกรณีที่การผ่าตัดไม่สามารถทำได้

 
ข้อควรพิจารณาในการให้อาหารสุนัขที่ป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
รูป 1a แมวพันธุ์ DSH เพศเมีย ทำหมันแล้ว อายุ 10 ปี เลี้ยงในโรงนามาด้วยประวัติพบรอยโรคบริเวณสันจมูกด้านซ้ายและ nasal planum เป็นเวลา 1 ปี การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็น squamous cell carcinoma Christina M. Gentry
 แมวพันธุ์ DSH เพศเมีย ทำหมันแล้ว อายุ 10 ปี เลี้ยงในโรงนามาด้วยประวัติพบรอยโรคบริเวณสันจมูกด้านซ้ายและ nasal planum เป็นเวลา 1 ปี การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็น squamous cell carcinoma
รูป 1b แมวพันธุ์ DSH เพศเมีย ทำหมันแล้ว อายุ 10 ปี เลี้ยงในโรงนามาด้วยประวัติพบรอยโรคบริเวณสันจมูกด้านซ้ายและ nasal planum เป็นเวลา 1 ปี การตัดชิ้นเนื้อไปตรวจพบว่าเป็น squamous cell carcinoma Christina M. Gentry

รอยโรคของ PF พบมากบริเวณส่วนโค้งนูนของใบหู หน้า สันจมูกและ nasal planum โดยพบรอยโรคที่ nasal planum ในแมวมากที่ป่วยมากถึงร้อยละ 50 นอกจากนี้ยังสามารถพบรอยโรคได้ที่ mammary papilla ฝ่าเท้า ซอกเล็บ และผิวหนังที่มีขนปกคลุม

Christina M. Gentry

ภาวะภูมิไวเกิน

การแพ้ยุงกัดพบได้บ่อยในแมวสีเข้มที่เลี้ยงนอกบ้านในช่วงที่อากาศอบอุ่นในภูมิภาคทางใต้ของประเทศสหรัฐอเมริกาหรือประเทศแถบเมดิเตอร์เรเนียน พบได้น้อยมากในแมวที่เลี้ยงในบ้านเพียงอย่างเดียว ถือเป็นภาวะภูมิแพ้ชนิด type 1 hypersensitivity ที่มีลักษณะบางอย่างเหมือนกับ type 4 hypersensitivity แมวที่มีอาการบางตัวสามารถพบรอยโรค wheal ภายใน 20 นาทีหลังจากถูกยุงกัด [8] พบรอยโรคผิวหนังอักเสบมิลิเอริและ eosinophilic granuloma บริเวณสันจมูก ปลายหู และฝ่าเท้า(รูป 2) รอยโรคเหล่านี้อาจพัฒนาไปเป็นสะเก็ด ผิวหนังลอกหลุด และแผลเกาจากอาการคัน ในแมวที่มีอาการรุนแรงสามารถพบรอยโรคขยายจากสันจมูกเข้าไปสู่ nasal planum รวมไปถึงต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียงมีการขยายขนาดด้วย [8] [9]

ภาวะภูมิไวเกินมักวินิจฉัยจากการซักประวัติและการตรวจร่างกาย การตัดชิ้นเนื้อตรวจอาจทำในรายที่มีความรุนแรงค่อนข้างมากหรือสงสัยว่าเป็น pemphigus foliaceus และผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อไวรัส herpes การทำ superficial cytology มีประโยชน์ในการวินิจฉัยการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนซึ่งในกรณีที่ไม่ได้เกิดการติดเชื้อจะพบเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิลมากกว่าชนิดอื่น ผลการตรวจจุลพยาธิวิทยาพบการอักเสบที่มีอีโอซิโนฟิลแทรกตัวเข้ามามากร่วมกับสะเก็ดและสิ่งคัดหลั่งซึ่งอาจทำให้ยากต่อการวินิจฉัยแยกแยะจากโรคผิวหนังอื่นในแมวที่มีอีโอซิโนฟิลเข้ามาเกี่ยวข้องเช่นผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัส herpes กรณีที่ไม่พบ inclusion bodies [9]

การรักษาจะประสบความสำเร็จได้จำเป็นต้องจัดการการอักเสบแบบเฉียบพลันและการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนหากมี ร่วมกับการลดหรือหยุดการกัดของยุง ยาสเตียรอยด์ชนิดกินหรือชนิดฉีดที่ออกฤทธิ์สั้นในขนาดที่กดการอักเสบได้ปานกลางถึงสูง(1-2 mg/kg ต่อวัน) ดีที่สุดในการควบคุมการอักเสบ [8] การรักษาอาจทำเพียง 2-4 สัปดาห์หากสามารถป้องกันการกัดของยุงได้โดยอาจรักษาต่อเนื่องจนกว่าจะหมดฤดูกาลที่ยุงชุกชุมหากไม่สามารถจัดการสิ่งแวดล้อมได้ เช่นในกรณีของแมวที่เลี้ยงในโรงนา

การหลีกเลี่ยงยุงเป็นวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งอาจรวมถึงการงดให้แมวออกนอกบ้านในช่วงเวลาและฤดูกาลที่ยุงชุกชุม การกำจัดแหล่งน้ำขังที่ยุงวางไข่ ตัดหญ้าหรือพุ่มไม้ที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ และการใช้ยาป้องกันแมลง [8] การใช้ยากันยุงทาภายนอกแมวอาจช่วยได้ในกรณีที่ไม่สามารถเก็บแมวไว้ใน้บ้านได้แต่มีประสิทธิภาพที่หลากหลายทั้งยังต้องทาเป็นประจำทุกวัน ผลิตภัณฑ์ที่มีสาร permethrin สำหรับแมว น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ neem และ cat nip สามารถนำมาใช้ได้เช่นกันแต่ควรระวังความเป็นพิษจากสารเหล่านั้น [8] ประสบการณ์จริงของผู้เขียนบทความพบว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ picaridin สามารถออกฤทธิ์ป้องกันยุงได้นานหลายชั่วโมงเมื่อทาที่บริเวณหลังและปลายหู

การพยากรณ์โรคจัดว่าดีมากในแมวที่สามารถเลี้ยงในบ้านได้ และยังถือว่าใช้ได้ถึงดีในรายที่ไม่สามารถจัดการควบคุมสิ่งแวดล้อม

ข้อควรพิจารณาในการให้อาหารสุนัขที่ป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
รูป 2 a แมวพันธุ์ DLH เพศเมีย ทำหมันแล้ว อายุ 13 ปี เลี้ยงภายนอกเพียงอย่างเดียวมาด้วยอาการแพ้จากยุงกัด อาการที่แมวแสดงออกคือภาวะขนร่วงเป็นฤดูกาล สะเก็ด ผิวหนังหลุดลอกบริเวณ nasal planum และสันจมูก Christina M. Gentry

โรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตนเอง

โรค pemphigus foliaceus (PF) เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากภูมิคุ้มกันตนเองในแมวที่พบได้มากที่สุด [10] ถึงแม้ว่าโดยรวมจะพบได้ไม่มากนักในประชากรแมว PF ส่งผลต่อ desmojunction ระหว่างเซลล์ epidermis ที่อยู่ชั้นนอกสุด ส่งผลให้เซลล์ epidermis เหล่านั้นแยกตัวออกก่อนที่จะมีโอกาสโตเต็มที่กลายเป็น anucleated keratinocyte โรค PF ส่วนมากมักหาสาเหตุไม่ได้แต่มีบางส่วนที่เกิดจากการกระตุ้นโดยยาบางชนิด [11] พบมากในแมวช่วงอายุกลางๆแต่แมวทุกวัยสามารถเป็นโรคนี้ได้แม้แต่ลูกแมว

รอยโรคของ PF พบมากบริเวณส่วนโค้งนูนของใบหู หน้า สันจมูกและ nasal planum (รูป 3) โดยพบรอยโรคที่ nasal planum ในแมวมากที่ป่วยมากถึงร้อยละ 50(รูป 4) [11] [12] นอกจากนี้ยังสามารถพบรอยโรคได้ที่ mammary papilla ฝ่าเท้า ซอกเล็บ และผิวหนังที่มีขนปกคลุม [11] แมวบางตัวมีรอยโรคอยู่เฉพาะที่ใบหน้า บางตัวอาจพบรอยโรคแค่ที่อุ้งเท้าและซอกเล็บ หรือบางตัวอาจพบรอยโรคกระจายไปทั่วร่างกาย รอยโรคหลักประกอบด้วย pustule สีเหลืองที่กินบริเวณรูขุมขนหลายรูจากนั้นพัฒนาเป็น annular crust สีเหลือง และอาจมีผิวหนังหลุดลอกอยู่ด้านใต้ บริเวณฝ่าเท้าและ nasal planum อาจสูญเสียลักษณะรอยแตกอันเป็นเอกลักษณ์ ซอกเล็บมีหนองข้นสีเหลืองหรือเขียวออกมา อาการคันในกรณีของ PF นั้นมีความหลากหลาย การกัดหรือเกาอาจทำให้รอยโรคเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะใบหน้าและหู แมวที่ป่วยอาจมีไข้ ซึม และเบื่ออาหาร

การวินิจฉัยแรกเริ่มควรทำ impression cytology โดยอาจเจาะ pustule ให้แตกหรือยกสะเก็ดหนองขึ้นเพื่อตรวจด้านใต้ ผลจากการทำ cytology จะพบนิวโทรฟิลที่ยังไม่สลายตัว acantholytic keratinocyte ปริมาณต่างกันไปซึ่งเป็น keratinocyte ที่มีลักษณะกลมและมีนิวเคลียสซึ่งสูญเสีย desmosome junction ย้อมติดสีน้ำเงิน การตรวจ DTM Wood’s lamp และการขูดผิวหนังสามารถช่วยตัดข้อสงสัยเกี่ยวกับเชื้อราและปรสิตภายนอกเช่น Demodex spp. Notoedres cati การตรวจเลือดอาจพบภาวะ leucocytosis และ hyperglobulinemia [13]

การวินิจฉัยเพื่อยืนยันโรคควรทำการตัดชิ้นเนื้อ จากการที่รอยโรคบ่งชี้( neutrophilic pustule และ acantholytic keratinocyte)อยู่ที่บริเวณผิวชั้นนอกจึงไม่ควรโกนขนหรือสครับเพราะอาจทำให้รอยโรคเหล่านั้นหายไป ผลจุลพยาธิวิทยาจะพบสะเก็ดที่มีนิวโทรฟิลจำนวนมาก โดยนิวโทรฟิลจะแทรกอยู่ในชั้น epidermis และส่วนบนของชั้น dermis อาจพบนิวโทรฟิลเพียงอย่างเดียวหรือนิวโทรฟิลร่วมกับอีโอซิโนฟิลได้ [14] ส่วนของ pustule อาจพบนิวโทรฟิลหรืออีโอซิโนฟิลแทรกอยู่เป็นหลักร่วมกับ acantholytic keratinocyte ลักษณะเดี่ยวหรือเป็นแพ รอยโรคยังอาจลามไปถึงรูขุมขนด้วยเช่นกัน (รูป 5) [14

ยากลุ่มสเตียรอยด์เป็นยาหลักที่ใช้ในการรักษาโดยสามารถใช้เพียงสเตียรอยด์อย่างเดียวได้ในแมวหลายตัว ขนาดเริ่มต้นของ prednisolone คือ 2-6 mg/kg/วันโดยการกิน ในแมวป่วยส่วนมากมักตอบสนองดีต่อยาที่ขนาด 2-3 mg/kg/วัน [12] ยาสเตียรอยด์แบบกินมีประสิทธิภาพดีกว่าการฉีดสเตียรอยด์ชนิดออกฤทธิ์ได้ยาวนานแต่อาจจำเป็นต้องใช้แบบฉีดในกรณีที่ไม่สามารถป้อนยาแมวได้ อาการของโรคมักเริ่มทุเลาภายใน 2-8 สัปดาห์แต่สัตว์ป่วยส่วนมากมักต้องได้รับยาตลอดอายุขัย เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นให้ลดขนาดสเตียรอยด์ลงร้อยละ 25 ทุก 2-3 สัปดาห์จนสามารถหยุดยาได้หรือกลับมามีอาการซ้ำ

ยากดภูมิคุ้มกันเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาที่ควรพิจารณาร่วมกับการใช้สเตียรอยด์เพื่อลดผลข้างเคียงจากสเตียรอยด์เช่น น้ำหนักขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความไวต่อการติดเชื้อไวรัสที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต้น ยา cyclosporine ในรูปแบบของเหลวหรือแคปซูลขนาด 5-7 mg/kg/วัน สามารถลดขนาดของสเตียรอยด์หรือในบางรายอาจทำให้หยุดการใช้สเตียรอยด์ได้ เมื่ออาการดีขึ้นแล้วสามารถลดขนาดของยา cyclosporine เหลือ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ได้ [15] ยา chlorambucil สามารถพิจารณาให้ในรายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วย cyclosporine เกิดผลข้างเคียงของระบบทางเดินอาหารรุนแรงจาก cyclosporine หรือมีความกังวลเกี่ยวกับผลจากการใช้สเตียรอยด์เป็นเวลายาวนาน [15] ไม่แนะนำให้ใช้ azathioprine ในแมวจากฤทธิ์กดไขกระดูกของยา [15] การพยากรณ์โรคในแมวส่วนมากค่อนข้างดีหากทนต่อยากินได้และไม่เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์ [11]

 
แมวพันธุ์ DSH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 5 ปี ป่วยด้วยโรค pemphigus foliaceus ที่มีรอยโรคบริเวณใบหู สันจมูก และ nasal planum สังเกตสะเก็ดสีเหลืองและภาวะ hypotrichosis ในบริเวณดังกล่าว
รูป 3 แมวพันธุ์ DSH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 5 ปี ป่วยด้วยโรค pemphigus foliaceus ที่มีรอยโรคบริเวณใบหู สันจมูก และ nasal planum สังเกตสะเก็ดสีเหลืองและภาวะ hypotrichosis ในบริเวณดังกล่าว Christina M. Gentry
แมวพันธุ์ DSH ที่มี erythema สะเก็ด และขนร่วงบริเวณจมูก ผลการวินิจฉัยพบว่าเป็น pemphigus foliaceus
รูป 4 แมวพันธุ์ DSH ที่มี erythema สะเก็ด และขนร่วงบริเวณจมูก ผลการวินิจฉัยพบว่าเป็น pemphigus foliaceus Dr. Christoph J. Klinger
ผล cytology ของ pemphigus foliaceus สังเกตเซลล์ keratinocyte ที่รูปร่างกลมหรือเรียกว่า acantholytic cell อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กเหมือนไข่ดาว ล้อมรอบไปด้วยนิวโทรฟิลล์
รูป 5 ผล cytology ของ pemphigus foliaceus สังเกตเซลล์ keratinocyte ที่รูปร่างกลมหรือเรียกว่า acantholytic cell อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กเหมือนไข่ดาว ล้อมรอบไปด้วยนิวโทรฟิลล์ Dr. Christoph J. Klinger

Squamous cell carcinoma หรือ SCC พบได้บ่อยในแมวคิดเป็นร้อยละ 15 ของเนื้องอกบริเวณผิวหนังของแมวทั้งหมด SCC ที่ผิวหนังมักพบบริเวณใบหน้าโดยเฉพาะส่วนที่มีขนน้อยของปลายหู สันจมูก เปลือกตา และส่วนที่ปราศจากขนอย่าง nasal planum

Christina M. Gentry

โรคติดเชื้อ

FHV-1

โรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัส herpes เป็นรูปแบบการแสดงออกที่พบไม่บ่อยนักในการติดเชื้อไวรัส herpes (FHV-1) ในแมว เชื้อไวรัสนี้พบได้บ่อยและมักก่อโรคที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต้นซึ่งจะแสดงอาการของ rhinotracheitis และ conjunctivitis ที่สามารถหายได้เองในแมว แต่เชื้อไวรัสสามารถแฝงใน trigeminal ganglia [16] แมวที่เกิดรอยโรคบริเวณผิวหนังอาจมีประวัติการติดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนต้น การใช้ยาสเตียรอยด์ หรือเกิดความเครียดก่อนหน้า พบมากในแมวที่โตแล้วมากกว่าแมวเด็ก ลักษณะรอยโรคที่ผิวหนังพบตุ่มน้ำ(vesicle) ผิวหนังลอกหลุดและแผลหลุมอยู่ใต้สะเก็ด ตำแหน่งที่พบได้แก่จมูก nasal planum ปาก และรอบดวงตา นอกจากนี้อาจพบแผลหลุมทั่วตัวได้ [17

ข้อสงสัยว่าแมวป่วยด้วยโรคนี้อาจเกิดจากการซักประวัติและการตรวจร่างกายโดยเฉพาะหากมีอาการระบบทางเดินหายใจส่วนต้นเกิดร่วมกัน การตัดชิ้นเนื้อตรวจแนะนำให้ทำเป็นอย่างยิ่งเพื่อวินิจฉัยยืนยัน รอยโรคของ FHV-1 อาจคล้ายกับผิวหนังอักเสบจากยุงกัด pemphigus foliaceus eosinophilic granuloma และ erythema multiforme ขึ้นกับปริมาณของสะเก็ดและระดับความรุนแรงของการกัดทำร้ายตนเอง ผลจุลพยาธิวิทยาพบการตายของชั้น epidermis ที่อาจขยายลงไปถึงชั้น dermis พบปริมาณสิ่งคัดหลั่งและสะเก็ดปริมาณมากร่วมกับการแทรกของเซลล์อักเสบชนิดอีโอซิโนฟิลมากกว่านิวโทรฟิล [9] หากพบ intranuclear inclusion body ใน keratinocyte หรือ giant cell ถือเป็นข้อวินิจฉัยได้แต่อาจตรวจไม่พบในทุกราย หากไม่พบ inclusion body ในตัวอย่างอาจส่ง PCR หรือ immunohistochemistry โดยใช้เนื้อเยื่อบริเวณที่มีรอยโรค การศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ได้แสดงถึงความน่าเชื่อถือของการใช้ RNA scope® in situ hybridization เพื่อวินิจฉัย FHV-1 จากตัวอย่างชิ้นเนื้อที่ผ่านการดองฟอร์มาลีนและคงสภาพด้วยพาราฟิน [18] ข้อควรระวังคือการตรวจ PCR จากรอยโรคที่ระบบทางเดินหายใจหรือดวงตา ไม่สามารถยืนยันหรือตัดข้อสงสัยโรคผิวหนังอักเสบจากเชื้อไวรัส herpes ได้ แต่อาจช่วยในการวินิจฉัยสาเหตุของโรคระบบทางเดินหายใจส่วนต้นที่เกิดพร้อมกัน

การรักษาขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการ คำแนะนำคือใช้ยาต้านไวรัสชนิดกินและทา interferon omega และ imiquimod  [16] [19] หากแมวป่วยกำลังได้รับยากลุ่มสเตียรอยด์ควรพิจารณาหยุดยาทันที

Sporotrichosis 

โรคนี้เกิดจากการติดเชื้อราสองรูป(dimorphic fungi)ที่เรียกว่า Sporotrix schenckii เชื้อราชนิดนี้อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมและพื้นดิน conidia ของเชื้อราเข้าสู่ตัวสัตว์ผ่านการเกาหรือกัด โรคนี้เป็นโรคเฉพาะถิ่น(endemic) ในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มีการระบาด(epidemic)ในประเทศบราซิลช่วง 20 ปีที่ผ่านมา [20] นอกจากนี้ยังพบเป็นบางครั้งในทวีปอเมริกาเหนือ [20] [21] สาระสำคัญคือโรคนี้เป็นโรคสัตว์สู่คน(zoonoses)โดยเส้นทางหลักในการติดเชื้อสู่คนคือผ่านการกัดหรือข่วนของแมว [20]

ในแมวจะพบบ่อยสองรูปแบบคือ cutaneous และ cutaneous-lymphatic form บริเวณที่พบรอยโรคคือใบหน้าและศีรษะ รอยโรคบริเวณสันจมูกมักลามเข้าไปที่ nasal planum [21] รูปแบบ cutaneous-lymphatic มีการเปลี่ยนแปลงไปเป็นแบบกระจายทั่วตัวได้น้อยกว่า จากการศึกษาย้อนหลังในสัตว์ป่วย 28 ตัวพบว่าแมวที่ติดเชื้อเกือบทั้งหมดมีการออกไปนอกบ้าน รวมถึงมีสุขภาพแข็งแรงแต่มีบางตัวที่มีโรคอื่นร่วมด้วยเช่นการติดเชื้อ retrovirus [21]

การวินิจฉัยเชื้อราชนิดนี้อาจทำได้โดยวิธี fine-needle aspiration เพื่อตรวจ cytology การเพาะเชื้อรา และการตรวจจุลพยาธิวิทยา [22] การรักษาใช้ยากลุ่ม azole เช่นยา itraconazole ที่ใช้บ่อยที่สุดให้ผลการรักษาที่น่าพึงพอใจและในบางครั้งพบว่ามีการใช้ sodium หรือ potassium iodide เพื่อการรักษาเช่นกัน [22] ระยะเวลาในการรักษามักใช้เวลาหลายเดือนและควรให้ยาต่ออีก 1-2 เดือนหลังจากที่ไม่มีอาการแล้ว การพยากรณ์โรคถือว่าดีสำหรับรูปแบบ cutaneous และ cutaneous-lymphatic form แต่ไม่ค่อยดีนักในรายที่ติดเชื้อทางระบบ 

โรคที่ไม่ทราบสาเหตุ

โรคผิวหนังบริเวณจมูกอักเสบแบบไม่ทราบสาเหตุ(idiopathic nasal dermatitis) เป็นความผิดปกติที่พบได้ไม่บ่อยบริเวณ nasal planum ของแมวพันธุ์ Bengal ยังไม่ทราบถึงสาเหตุและพยาธิกำเนิดของโรคนี้ สัตว์ป่วยมักมีอายุน้อยกว่า 1 ปี พบว่าเกิดความผิดปกติเช่น สะเก็ด รอยแตก และแผลหลุมที่บริเวณ nasal planum เท่านั้น ในการศึกษาหนึ่งทำการทบทวนกรณีสัตว์ป่วยทั้งหมด 48 ตัวและรายงานว่าแมวที่เป็นโรคนี้ไม่พบว่ามีรอยโรคที่ผิวหนังตำแหน่งอื่น [23] การวินิจฉัยทำโดยการซักประวัติและการตรวจร่างกาย

แนวทางในการรักษามีหลายวิธีทั้งการให้ยา prednisolone โดยการกิน salicylic acid และ tacrolimus ชนิดทาภายนอก ความสำเร็จในการรักษาโดย prednisolone และ salicylic acid ค่อนข้างหลากหลาย ในขณะที่ tacrolimus ชนิดทาภายนอกประสบความสำเร็จสูงสุดในการรักษา [23] แมวบางตัวอาจหายเองได้ การพยากรณ์จัดว่าดีถึงดีมากเพราะแมวที่ป่วยส่วนมากตอบสนองต่อการรักษา 

ความผิดปกติของเม็ดสี

Lentigo simplex 

อาการนี้พบได้ไม่บ่อยในแมวสีส้มที่โตเต็มวัยแล้ว เกิดเป็นรอยโรคสีดำ( asymptomatic macular melanosis)ที่บริเวณริมฝีปาก รวมถึงจมูก เหงือก และเปลือกตา [24] รอยโรคมีลักษณะแบน รูปร่างกลมถึงรีและมีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 1 เซนติเมตร(รูป 6) ผิวหนังมีปริมาณเม็ดสีหนาแน่นมากแต่ไม่ผิดปกติโดยบริเวณที่มีเม็ดสีอาจขยายขนาดอย่างช้าๆเมื่อเวลาผ่านไป(รูป 7)โดยไม่มีการเปลี่ยนไปเป็นก้อนเนื้อหรือแผ่นนูน [24] การวินิจฉัยทำโดยการตรวจร่างกายแต่สามรถตัดชิ้นเนื้อตรวจได้หากสงสัย melanoma ผลจุลพยาธิวิทยาจะพบ melanosis โดยเฉพาะในชั้นที่ลึกสุดของ epithelium เนื่องจากเป็นความผิดปกติที่มีเพียงผลต่อความสวยงามจึงไม่มีคำแนะนำในการรักษา

 
 
แมวพันธุ์ DSH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 5 ปี พบจุดเล็กๆสีดำบริเวณ nasal planum nasal philtrum และขอบริมฝีปาก รอยโรคมีลักษณะแบนโดยไม่พบ erythema และการหลุดลอกของผิวหนังร่วมด้วย
รูป 6 แมวพันธุ์ DSH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 5 ปี พบจุดเล็กๆสีดำบริเวณ nasal planum nasal philtrum และขอบริมฝีปาก รอยโรคมีลักษณะแบนโดยไม่พบ erythema และการหลุดลอกของผิวหนังร่วมด้วย Christina M. Gentry
 แมวพันธุ์ DMH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 17 ปี มีรอยโรคจุดสีดำขนาดใหญ่บริเวณ nasal planum และ nasal philtrum
รูป 7 แมวพันธุ์ DMH เพศผู้ทำหมันแล้ว อายุ 17 ปี มีรอยโรคจุดสีดำขนาดใหญ่บริเวณ nasal planum และ nasal philtrum Rachel Rodriguez
Vitiligo 

Vitiligo สามารถพบได้เมื่อ melanocyte บริเวณผิวหนังส่วนหนึ่งถูกทำลายจนเกือบหมด พบได้ยากมากในแมว สาเหตุการเกิดมีได้หลายปัจจัยร่วมกันซึ่งอาจรวมถึงพันธุกรรม การทำลายที่เกิดจากการเหนี่ยวนำผ่านภูมิคุ้มกันตนเอง และอนุมูลอิสระ อาการที่พบคือภาวะขาดเม็ดสีอย่างสมมาตรของทั้งบริเวณผิวหนังที่ไม่มีขน(leukoderma)และบริเวณผิวหนังที่มีขน(leukotrichia) ในแมวจะพบภาวะขาดเม็ดสีที่บริเวณรอบดวงตา จมูก ขอบปาก ฝ่าเท้าและส่วนปลายของร่างกาย ส่วนอื่นของร่างกายมักไม่พบความผิดปกตินี้ ไม่พบการอักเสบ การหลุดลอกของผิวหนัง และสะเก็ดในบริเวณรอยโรค [25] งานวิจัยอ้างอิงพบเพียงเฉพาะในแมวพันธุ์ Siamese ซึ่งมักได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคนี้ในเพศเมีย ช่วงวัยรุ่นจนถึงโตเต็มวัย [25] การวินิจฉัยทำได้โดยการตรวจร่างกายแมวพันธุ์ Siamese ที่ยังไม่โตเต็มที่มาด้วยอาการขาดเม็ดสีโดยไม่มีการอักเสบหรือสะเก็ดร่วมด้วย การตัดชิ้นเนื้อตรวจแนะนำให้ทำในแมวที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาหรือเพื่อตัดข้อสงสัยโรคเช่น cutaneous epitheliotropic lymphoma การขาดสารอาหาร และ discoid lupus erythematosus ในระยะเริ่มต้น 

Vitiligo ถือเป็นปัญหาความสวยงามในแมวแต่การสูญเสียเม็ดสีบริเวณเปลือกตาและจมูกอาจเป็นสาเหตุโน้มนำให้เกิด actinic keratosis ซึ่งนำไปสู่ squamous cell carcinoma ได้ ไม่มีคำแนะนำในการรักษา 

สรุป

รอยโรคภายนอกบริเวณจมูกแมวนั้นพบได้ยากแต่สัตวแพทย์ควรทำการตรวจรักษาด้วยหลักการและความเอาใจใส่เช่นเดียวกับโรคผิวหนังชนิดอื่น โดยระลึกว่าอาการภายนอกบริเวณจมูกนั้นอาจเป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาที่ใหญ่กว่า รอยโรคสามารถทำการวินิจฉัยแยกแยะด้วยการซักประวัติอย่างละเอียด การตรวจร่างกาย การทำ cytology และอาจรวมถึงการตัดชิ้นเนื้อตรวจ การปรึกษาสัตวแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านตจวิทยาสามารถช่วยได้ในกรณีที่ยากและมีความซับซ้อน
 

 

Christina Gentry

Christina Gentry

DVM, Dip. ACVD

สหรัฐอเมริกา

Dr.Gentry ได้เข้าศึกษาระดับมหาบัณฑิตและดุษฎีบัณฑิตด้านสัตวแพทย์ที่ Texas A&M University และได้สำเร็จการฝึกสัตวแพทย์แบบหมุนในด้านสัตว์เลี้ยงจาก University of Georgia ก่อนเข้าเป็นสัตวแพทย์ประจำคลินิกผิวหนังที่ Veterinary Referral Center of Colorado เธอได้สำเร็จอนุปริญญาบัตรด้านคลินิกผิวหนังในปี 2016 และปัจจุบันธอทำงานในคลินิกเอกชนในเท็กซัส เธอได้ให้ความสนใจในด้านโรคผิวหนังแมว โรคหูอักเสบ และโรคผิวหนังจากภูมิคุ้มกัน

แหล่งอ้างอิง
  1. Murphy S. Cutaneous squamous cell carcinoma in the cat: current understanding and treatment approaches. J Feline Med Surg 2013;15(5):401-407.
  2. Dorn CR, Taylor DO, Schneider R. Sunlight exposure and risk of developing cutaneous and oral squamous cell carcinomas in white cats. J Natl Cancer Inst 1971;46:1073-1078.
  3. Gross TL, Ihrke PJ, Walder EJ, et al. Epidermal tumors. In: Skin diseases of the dog and cat, clinical and histopathologic diagnosis. 2nd ed. Oxford, Blackwell Science Ltd 2005;562-600.
  4. Hauck ML. Tumors of the skin and subcutaneous tissues. In: Vail DM, Withrow SJ (eds.) Withrow and MacEwen’s Small Animal Clinical Oncología. St Louis, Elsevier Saunders 2013;305-320.
  5. Hammond GM, Gordon IK, Theon AP, et al. Evaluation of strontium Sr90 for the treatment of superficial squamous cell carcinoma of the nasal planum in cats: 49 cases (1990-2006). J Am Vet Med Assoc 2007;231(5):736-741.
  6. Miller WH, Griffin CE, Campbell, KL. Miscellaneous Alopecias. In: Small Animal dermatologia7th Ed. St. Louis, Elsevier Mosby 2013;554-572.
  7. Caporali C, Albanese F, Binanti D, et al. Two cases of feline paraneoplastic alopecia associated with a neuroendocrine pancreatic neoplasia and a hepatosplenic plasma cell tumour. Vet Dermatol 2016;27(6):508-e137.
  8. Nagata M. Mosquito Bites. In: Noli C, Foster A, and Rosenkrantz W (eds.) Veterinary Allergy. 1st ed. Oxford, John Wiley and Sons Ltd 2014;265-270.
  9. Gross TL, Ihrke PJ, Walder EJ, et al. Ulcerative and crusting diseases of the epidermis. In: Skin diseases of the dog and cat, clinical and histopathologic diagnosis. 2nd ed. Oxford, Blackwell Science Ltd, 2005;116-135.
  10. Scott DW, Miller WH, Erb HN. Feline dermatologa at Cornell University: 1407 cases (1988-2003). J Feline Med Surg 2013;15(4):307-316.
  11. Bizikova P, Burrows A. Feline pemphigus foliaceus: original case series and a comprehensive literature review. BMC Vet Res 2019;15(1):22.
  12. Simpson DL, Burton GG. Use of prednisolone as monotherapy in the treatment of feline pemphigus foliaceus: a retrospective study of 37 cats. Vet Dermatol 2013;24(6):598-e144.
  13. Jordan TJM, Affolter VK, Outerbridge CA, et al. Clinicopathological findings and clinical outcomes in 49 cases of feline pemphigus foliaceus examined in Northern California, USA (1987-2017). Vet Dermatol 2019;30(3):209-e65.
  14. Gross TL, Ihrke PJ, Walder EJ, et al. Pustular diseases of the epidermis. In: Skin diseases of the dog and cat, clinical and histopathologic diagnosis. 2nd ed. Oxford, Blackwell Science Ltd 2005;4-26.
  15. Irwin KE, Beale KM, Fadok VA. Use of modified ciclosporin in the management of feline pemphigus foliaceus: a retrospective analysis. Vet Dermatol 2012;23(5):403-e76.
  16. Miller WH, Griffin CE, Campbell, KL. Viral, Rickettsial, and Protozoal Skin Diseases. In: Small Animal Dermatologia7th Ed. St. Louis, Elsevier Mosby 2013;343-362.
  17. Hargis AM, Ginn PE. Feline herpesvirus 1-associated facial and nasal dermatitis and stomatitis in domestic cats. Vet Clin North Am Small Anim Pract 1999;29(6):1281-1290.
  18. Mazzei M, Vascellari M, Zanardello C, et al. Quantitative real time polymerase chain reaction (qRT-PCR) and RNAscope in-situ hybridization (RNA-ISH) as effective tools to diagnose feline herpesvirus-1-associated dermatitis. Vet Dermatol 2019;30(6):491-e147.
  19. Gutzwiller ME, Brachelente C, Taglinger K, et al. Feline herpes dermatitis treated with interferon omega. Vet Dermatol 2007;18(1):50-54.
  20. Gremio ID, Miranda LH, Reis EG, et al. Zoonotic epidemic of Sporotrichosis: cat to human transmission. PLOS Pathog 2017;13(1):e1006077.
  21. Crothers SL, White SD, Ihrke PJ, et al. Sporotrichosis: a retrospective evaluation of 23 cases seen in northern California (1987-2007). Vet Dermatol 2009;20(4):249-259.
  22. Lloret A, Hartmann K, Pennisi MG, et al. Sporotrichosis in cats: ABCD guidelines on prevention and management. J Feline Med Surg 2013;15(7):619-623.
  23. Bergvall K. A novel ulcerative nasal dermatitis of Bengal cats. Vet Dermatol 2004;15:28.
  24. Miller WH, Griffin CE, Campbell, KL. Pigmentary Abnormalities. In: Small Animal Dermatologia7th Ed. St. Louis, Elsevier Mosby, 2013;618-629.
  25. Tham HL, Linder KE, Olivry T. Autoimmune diseases affecting skin melanocytes in dogs, cats and horses: vitiligo and the uveodermatological syndrome: a comprehensive review. BMC Vet Res 2019;15(1):251.