ระยะของพัฒนาการในแมว
สามารถอ่านได้ใน Kersti Seksel
การทำความเข้าใจระยะต่างๆในการพัฒนาของลูกแมวนั้นถือเป็นปัจจัยสำคัญในการแนะนำเจ้าของให้ทราบถึงวิธีที่ดีที่สุดในการมีปฏิสัมพันธ์กับแมวของพวกเขา ตามที่ Kersti Seckel ได้อธิบายไว้
Article
ประเด็นสำคัญ
เจ้าของลูกแมวจำเป็นที่จะต้องศึกษาเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยปรับปรุงทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตของสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ของพวกเขา
สภาพแวดล้อมภายในมดลูกของแม่แมวในช่วงระหว่างตั้งท้องนั้นมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมในอนาคตและพัฒนาการของลูกแมวแต่ละตัว และอาหารที่สมดุลสำหรับแม่แมวที่ตั้งท้องนั้นก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก
การสัมผัสและการเลี้ยงดูจากมนุษย์มีความสำคัญอย่างมากในลูกแมวอายุก่อน 9 สัปดาห์ เนื่องจากจะช่วยให้ลูกแมวมีพฤติกรรมที่ยอมรับได้ในสังคม
ลูกแมวที่เลี้ยงดูโดยมนุษย์อย่างเดียวจนโต (hand-reared kittens) มีแนวโน้มที่จะพัฒนาลักษณะขี้กลัวและก้าวร้าวทั้งต่อคนและแมวตัวอื่น รวมไปถึงแสดงให้เห็นว่ามีความสามารถในการเรียนรู้น้อยลง
บทนำ
ในบางครั้งแมวมีพฤติกรรมบางอย่างที่เจ้าของอาจทำความเข้าใจหรือจัดการได้ยาก ปัญหานั้นสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกระยะของพัฒนาการ อีกทั้งปัญหาเหล่านี้ยังสามารถส่งผลกระทบเป็นวงกว้างสำหรับลูกแมวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของบทบาทการเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านและเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ดังนั้นจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจช่วงพัฒนาการต่างๆของแมวเพื่อช่วยให้ลูกแมวเติบโตเป็นแมวที่ดีและเป็นเพื่อนที่ดีให้กับเจ้าของ พฤติกรรมนั้นจะถูกกำหนดโดยปัจจัยหลายประการซึ่งรวมไปถึงความบกพร่องทางพันธุกรรมของแมว ลักษณะทางพันธุกรรมของพ่อและแม่ (genotype) สิ่งที่แมวได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา (ทั้งประสบการณ์ที่ดี ไม่ดี และทั่วไป) ตลอดจนสภาพแวดล้อมที่แมวได้เจอในช่วงเวลาต่างๆ โดยพันธุศาสตร์ด้านกระบวนการเหนือพันธุกรรม (epigenetics) นั้นก็ยังมีบทบาทสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน
การรู้ว่าควรทำอย่างไรเพื่อช่วยให้ลูกแมวเติบโตเป็นแมวที่มีมารยาทดีเป็นสิ่งสำคัญ โดยต้องเริ่มตั้งแต่นักเพาะพันธุ์สัตว์ซึ่งจะเป็นคนตัดสินใจว่าแม่แมวควรจะผสมพันธุ์กับพ่อแมวตัวไหนและเมื่อไร แต่ทั้งนี้ก็เป็นเพียงแง่มุมหนึ่งที่สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้เพียงเท่านั้น การทำความเข้าใจถึงวิธีการจัดการแม่แมวทั้งช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการตั้งท้อง วิธีที่จะช่วยสร้างความพร้อมให้กับลูกแมว และวิธีการเลี้ยงดูลูกแมวก่อนที่จะไปบ้านใหม่ก็เป็นเพียงบางส่วนที่ต้องพิจารณา นอกจากนี้สัตวแพทย์ควรยินดีที่จะให้คำแนะนำและต้องสามารถให้คำปรึกษาได้ทุกด้าน โดยที่สำคัญคือเจ้าของลูกแมวตัวใหม่ต้องได้รับความรู้เรื่องวิธีดูแลสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตของแมวให้ดีที่สุด เนื่องจากปัจจัยทั้งสองต่างมีความสำคัญที่จะส่งผลให้แมวกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดี อีกทั้งการมีความคาดหวังที่เป็นไปได้ในสิ่งที่ลูกแมวสามารถทำได้และควรทำให้ได้ในช่วงเวลาหนึ่งนั้นจะช่วยสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างแมวกับเจ้าของให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
พัฒนาการของลูกแมวจากลูกแมวแรกเกิดที่ต้องอาศัยการพึ่งพิงอย่างสมบูรณ์และมีความสามารถในการรับรู้และตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่จำกัด ไปสู่สิ่งมีชีวิตที่มีความเป็นอิสระ มีสรีระที่พัฒนาอย่างเต็มที่ซึ่งจะช่วยให้สามารถดูแลตนเอง ล่าเหยื่อ และมีปฏิสัมพันธ์กับสัตว์ตัวอื่นในสปีชีส์เดียวกันหรือสปีชีส์อื่นๆได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งกระบวนการต่างๆเหล่านี้จะมีความซับซ้อนและละเอียดอ่อน รวมถึงได้รับผลกระทบจากหลายปัจจัย มีการระบุถึงระยะพัฒนาการที่แตกต่างกันหลายช่วง ได้แก่ ช่วงก่อนคลอด (prenatal) ลูกสัตว์แรกเกิด (neonatal) ช่วงเปลี่ยนผ่าน (transitional) ช่วงเข้าสังคม (socialization) ช่วงวัยรุ่น (juvenile) ช่วงสัตว์โตเต็มวัย (adult) และช่วงสัตว์สูงวัย (senior) ซึ่งแต่ละระยะล้วนมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของแมว (ตารางที่ 1) เมื่อลูกแมวโตขึ้น ระบบต่างๆของร่างกายซึ่งรวมถึงระบบกล้ามเนื้อและกระดูกและระบบประสาท ตลอดจนด้านจิตใจ (อารมณ์) จะต้องพัฒนาตามลำดับที่ถูกต้อง หากลูกแมวมีพัฒนาการทางระบบประสาทที่ปกติ สัตวแพทย์ควรให้ความสนใจกับช่วงเข้าสังคมเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงที่ลูกแมวหย่านมแล้วและอาจถูกย้ายไปบ้านใหม่รวมถึงอาจถูกทำหมัน ดังนั้นจึงมีความเครียดมากมายต่อสัตว์ในระยะพัฒนาการนี้ซึ่งมีความอ่อนไหวมาก อย่างไรก็ตามช่วงเข้าสังคมก็ไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวที่ต้องให้ความสนใจ นอกจากนี้เราควรจะตระหนักว่าระยะเวลาในการพัฒนานั้นไม่ได้ถูกกำหนดไว้ตายตัวและอาจแตกต่างกันไปตามลูกแมวแต่ละตัว เพราะหน่วยงานที่แตกต่างกันอาจจะกำหนดระยะพัฒนาการโดยใช้ขอบเขตเวลาที่แตกต่างกันได้
ตารางที่ 1 ระยะของพัฒนาการในแมวที่แตกต่างกันและช่วงอายุที่เหมาะสม
| ระยะของพัฒนาการ | ช่วงอายุ |
|---|---|
| ช่วงก่อนคลอด | อยู่ในมดลูก |
| ช่วงลูกสัตว์แรกเกิด | 0-2 สัปดาห์ |
| ช่วงเปลี่ยนผ่าน | 2-3 สัปดาห์ |
| ช่วงเข้าสังคม | 3 ถึงประมาณ 7-9 สัปดาห์ |
| ช่วงวัยรุ่น | ประมาณ 9 สัปดาห์จนถึง 4-10 เดือน |
| ช่วงสัตว์โตเต็มวัย/สัตว์สูงวัย | ตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์เป็นต้นไป |
ช่วงก่อนคลอด
ช่วงก่อนคลอดหรือก็คือช่วงตั้งแต่ปฏิสนธิจนกระทั่งคลอด ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 63 วันนั้นถือว่าเป็นช่วงที่มีความสำคัญมากกว่าที่จะเป็นแค่การคาดหวังลักษณะในอนาคตของลูกแมว ระยะของการพัฒนาตัวอ่อน (embryonic development) นั้นเริ่มต้นตั้งแต่การปฏิสนธิของไข่ซึ่งนำไปสู่การฝังตัวอ่อนในเยื่อบุมดลูก (ประมาณ 2 สัปดาห์หลังปฏิสนธิ) โดยจะเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ทั้งนี้แมวนั้นเป็นสัตว์ที่สามารถตั้งท้องลูกได้หลายตัวในหนึ่งครั้ง (multiparous) กระบวนการเหล่านี้จึงเกิดขึ้นซ้ำๆได้โดยไซโกต-โมรูลัสหลายอันซึ่งอาจมาจากการผสมพันธุ์กับแมวตัวผู้หลายตัว เมื่อแม่แมวตั้งท้องแล้ว สภาพแวดล้อมในมดลูกก็มีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมในอนาคตและพัฒนาการของลูกแมวแต่ละตัว มีงานวิจัยที่พบว่าลูกแมวที่เกิดจากแม่แมวที่ได้รับอาหารเป็นโปรตีนต่ำในช่วงตั้งท้องและตลอดการให้นมนั้นจะมีการแสดงอารมณ์มากกว่า เคลื่อนไหวมากกว่าและส่งเสียงร้องบ่อยกว่าลูกแมวที่เกิดจากแม่แมวที่ได้รับอาหารที่มีสารอาหารสมดุลและครบถ้วน [1] นอกจากนี้ลูกแมวเหล่านี้ยังสูญเสียการทรงตัวได้บ่อยขึ้น มีความผูกพันทางสังคมไม่ค่อยดี และมีปฏิสัมพันธ์กับแม่แมวน้อยลง มีการศึกษาอื่นได้รายงานว่าเมื่อแม่แมวถูกจำกัดความต้องการทางโภชนาการครึ่งหนึ่ง ลูกแมวจะแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องในการเจริญเติบโตของสมองบางส่วน (เช่น สมองส่วนซีรีบรัม สมองส่วนซีรีเบลลัม และก้านสมอง [2]) ซึ่งสมองส่วนต่างๆเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นและยังเป็นจุดที่คอยประสานการเคลื่อนไหวและการกระทำต่างๆของร่างกายจึงทำให้ลูกแมวมีพัฒนาการหลายๆด้านช้าลง รวมไปถึงการดูดนม การลืมตา การคลาน การขยับร่างกาย การเดิน การวิ่ง การเล่นและการปีน อย่างไรก็ตามการวิจัยผลกระทบของอาหารต่อการแสดงออกของยีนที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม (epigenetics) นั้นยังคงต้องทำการศึกษาต่อไป เนื่องจากยีนหรือพันธุกรรมของแมว (feline microbiome) เป็นสิ่งที่ได้รับการศึกษาเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันแต่ผลกระทบต่อพัฒนาการของลูกแมวนั้นยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน
ช่วงลูกสัตว์แรกเกิด
ระยะเวลาของลูกสัตว์แรกเกิดเริ่มตั้งแต่ทันทีที่เกิดไปจนถึงอายุ 2 สัปดาห์ แม้ว่าอาจจะมีผู้เขียนบางท่านที่พิจารณาว่าช่วงลูกสัตว์แรกเกิดจะกินเวลาถึงอายุ 7 วันเท่านั้น อย่างไรก็ตามแม่แมวจะเริ่มต้นดูแลและกระตุ้นการขับถ่ายให้ลูกสัตว์ (การกระตุ้นบริเวณรอบๆทวารหนักนั้นจำเป็นสำหรับการปัสสาวะและอุจจาระของลูกแมวแรกเกิด) ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของชีวิต ดังนั้นจึงเป็นไปได้ว่าช่วงลูกสัตว์แรกเกิดจะคงอยู่จนถึงช่วงเวลานี้ พฤติกรรมความเป็นแม่ที่ดีนั้นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับพัฒนาการของลูกแมวที่แข็งแรง (รูปภาพที่ 1) เพราะลูกแมวเมื่อแรกเกิดจะมีภาวะตาบอดและหูหนวกเกือบสนิท อีกทั้งยังมีความสามารถในการเคลื่อนไหวและควบคุมอุณหภูมิร่างกายได้ค่อนข้างจำกัด พวกมันจึงจำเป็นต้องพึ่งพาแม่แมวอย่างสมบูรณ์เพื่อความอยู่รอด
การกินและการนอนหลับเป็นกิจกรรมที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกแมวที่อยู่ในช่วงลูกสัตว์แรกเกิด โดยปกติแล้วในช่วงสัปดาห์แรกของชีวิตลูกแมวจะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 4 ชั่วโมงต่อวันในการดูดนม เนื่องจากลูกแมวแรกเกิดจะเกิดมาพร้อมกับตาที่บอด (แม้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองทางสายตาหลายอย่าง เช่น ปฏิกิริยาการกระพริบตา (blink reflex) อาจมีได้ก่อนที่จะเกิด [3]) และหูที่หนวกเกือบสนิท ทำให้การได้ยินในลูกแมวแรกเกิดนั้นไม่ดี ลูกแมวจึงต้องอาศัยประสาทสัมผัสในการดมกลิ่น การสัมผัสและการตรวจจับความอบอุ่น เนื่องจากลูกแมวแรกเกิดนั้นยังไม่สามารถที่จะควบคุมอุณหภูมิของร่างกายได้ เพราะฉะนั้นความสามารถในการตรวจจับระดับความต่างของอุณหภูมิ (thermal gradient) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการอยู่รอด ในขณะเดียวกันลูกแมวหาตำแหน่งของเต้านมโดยใช้ประสาทสัมผัสในการดมกลิ่น แม้ว่าลูกแมวจะไม่ส่งเสียงร้องมากนัก แต่พวกมันมักจะส่งเสียงเพอร์ (purr) เมื่อดูดนมและจะร้องเพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกไม่สบายทางกาย ลูกแมวเกิดมาพร้อมกับระบบประสาทที่ยังพัฒนายังไม่สมบูรณ์ รวมถึงการเคลื่อนไหวก็ค่อนข้างจำกัด นอกจากนี้ขาของลูกแมวแรกเกิดนั้นยังไม่แข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักของตัวมันเองได้จนกว่าจะอายุได้ 2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามลูกแมวสามารถพยุงตัวหรือปรับท่าทางได้หากล้มกลิ้งนอนหงาย เนื่องจากปฏิกิริยาปรับเปลี่ยนตำแหน่งท่าทาง (righting reflex) จะพัฒนาขึ้นก่อนจะคลอด
แมวบางตัวอาจไม่มั่นใจในตัวมนุษย์มากนักไม่ว่าพวกมันจะได้รับการฝึกให้เข้าสังคมมากแค่ไหนก็ตาม การดูแลแมวอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7-9 สัปดาห์จะช่วยเพิ่มโอกาสที่แมวจะเข้าสังคมได้ดียิ่งขึ้น แม้จะเพียงวันละ 15 นาทีก็ถือว่ามีประโยชน์
ช่วงเปลี่ยนผ่าน
ในช่วงนี้ (อายุ 2-3 สัปดาห์) ลูกแมวจะมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายและพฤติกรรมอย่างรวดเร็ว โดยลูกแมวจะมีความเป็นอิสระจากแม่แมวเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ อีกทั้งจะเริ่มคลานและเดินได้มากขึ้นแม้ว่าจะมีความงุ่มง่ามอยู่บ้าง นอกจากนี้ในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ตาและหูของลูกแมวก็จะสามารถเริ่มใช้งานได้แล้ว ฟันน้ำนมจะเริ่มขึ้น แม้ว่าโดยปกติแล้วลูกแมวจะไม่เริ่มกินอาหารแข็งจนกว่าจะสิ้นสุดช่วงเปลี่ยนผ่านแต่ว่าประสาทรับกลิ่นของลูกแมวนั้นจะพัฒนาเต็มที่ตั้งแต่ลูกแมวอายุได้ 3 สัปดาห์แล้ว
ที่สำคัญคือมีรายงานว่าลูกแมวที่แยกจากแม่และถูกเลี้ยงดูด้วยมนุษย์ตั้งแต่อายุ 2 สัปดาห์ดูเหมือนว่าจะมีความก้าวร้าวต่อผู้คนและต่อแมวตัวอื่นๆมากกว่าลูกแมวที่เลี้ยงโดยแม่แมว [4],[5],[6] ลูกแมวเหล่านั้นยังมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นใหม่มากขึ้น มีความสามารถในการเรียนรู้ที่แย่ลง รวมถึงมีทักษะการเข้าสังคมและมีพฤติกรรมความเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี ผลกระทบเหล่านี้อาจลดลงหากลูกแมวถูกเลี้ยงดูโดยมนุษย์ในบ้านที่มีแมวลักษณะปกติเพื่อให้ลูกแมวได้เรียนรู้พฤติกรรมต่างๆโดยการสังเกตพฤติกรรมของแมวตัวอื่นแทน
ช่วงเข้าสังคม
การเข้าสังคมมีความเชื่อมโยงกับพัฒนาการทางระบบประสาทและร่างกายของลูกแมวเป็นอย่างมาก แต่กระบวนการเข้าสังคมนั้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ช่วงวัยเด็กของลูกแมวเท่านั้นเพราะมันจะดำเนินต่อไปตลอดชีวิตของแมว การเข้าสังคมของลูกแมวจะมีผลต่อการมีปฏิกิริยาโต้ตอบกับบุคคลใหม่ๆในฐานะแมวโตเต็มวัย ทั้งนี้ช่วงเข้าสังคมจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 3-7 สัปดาห์ แม้ว่าจะมีผู้เขียนบางท่านที่แนะนำว่าช่วงเข้าสังคมอาจจะยาวไปจนถึงอายุ 9 สัปดาห์ ซึ่งจะแตกต่างไปจากสุนัขเนื่องจากช่วงเข้าสังคมของแมวดูเหมือนจะสิ้นสุดเร็วกว่าปกติ ทั้งนี้เนื่องจากการเล่นทางสังคม (social play) ของลูกแมวมักจะมีจุดสูงสุดอยู่ระหว่างอายุ 9-14 สัปดาห์ จึงมีผู้เขียนหลายท่านที่ลงความเห็นว่าช่วงเข้าสังคมนั้นอาจจะไม่ได้สิ้นสุดที่ 7 สัปดาห์เช่นนั้นเสมอไป ช่วงเข้าสังคมจะแตกต่างกันไปในแต่ละตัว แต่ละสายพันธุ์ และปัจจัยจากประสบการณ์ต่างๆ นอกจากนี้ในช่วงเข้าสังคมลูกแมวจะมีความเป็นอิสระมากขึ้นและมักจะเป็นช่วงที่ลูกแมวจะถูกย้ายไปบ้านใหม่อีกด้วย
ช่วงนี้จะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบต่างๆภายในร่างกายของลูกสัตว์ เมื่อลูกแมวอายุได้ 4 สัปดาห์ การได้ยินของพวกมันจะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ (โดยจะสามารถจดจำเสียงร้องของแม่ได้เมื่อเปิดคลิปเสียงร้องของแม่หรือร้องเหมียวแบบเดียวกันเพื่อตอบสนองกับเสียงร้องของแมวตัวอื่นๆ [7]) นอกจากนี้ลูกแมวยังสามารถรับรู้ความลึกได้ ถึงแม้ว่าการมองเห็นจะค่อยๆพัฒนาขึ้นเรื่อยๆจนถึงอายุประมาณ 16 สัปดาห์ก็ตาม ความสามารถในการปรับเปลี่ยนตำแหน่งท่าทางเมื่อตกลงจากที่สูง (air righting ability) ของลูกแมวจะเทียบเท่ากับแมวโตเต็มวัยเมื่ออายุได้ 6 สัปดาห์ เมื่ออายุได้ 7 สัปดาห์ลูกแมวก็จะสามารถรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้เช่นเดียวกับแมวโตเต็มวัย และเมื่ออายุได้ 5-6 สัปดาห์ลูกแมวก็จะสามารถควบคุมการขับถ่ายของตัวเองได้อย่างเต็มที่รวมถึงอาจเริ่มขุดดินเพื่อกลบอุจจาระหรือปัสสาวะได้ การตอบสนองโดยการเผยอริมฝีปากบนขึ้นแล้วยิงฟันหรือ flehmen response จะเริ่มที่อายุประมาณ 5 สัปดาห์และจะเทียบเท่ากับแมวโตเต็มวัยเมื่ออายุได้ 7 สัปดาห์ ลูกแมวจะมีการเคลื่อนไหวเหมือนกับแมวโตเต็มวัยเมื่ออายุ 6-7 สัปดาห์ และในช่วงเข้าสังคมนี้เองที่การเล่นของลูกแมวจะพัฒนาขึ้นโดยมีการเล่นอยู่หลายประเภท (การเล่นทางสังคม (social play) การเล่นทางวัตถุ (object play) และการเล่นทางการเคลื่อนไหว (locomotory play)) การเล่นทางสังคมนั้นจะเริ่มขึ้นเมื่อลูกแมวมีอายุประมาณ 4 สัปดาห์และจะมีจุดสูงสุดที่อายุประมาณ 9-14 สัปดาห์ ส่วนการเล่นทางวัตถุและการเล่นทางการเคลื่อนไหวนั้นจะเริ่มที่อายุ 6 สัปดาห์และมีจุดสูงสุดที่อายุประมาณ 16 สัปดาห์ ร่วมกับการพัฒนาการทำงานร่วมกันระหว่างตาและขา (eye-paw coordination) ที่จะเริ่มเมื่ออายุ 6 สัปดาห์เช่นเดียวกัน (รูปภาพที่ 2) โดยเมื่ออายุ 14 สัปดาห์ขึ้นไปลูกแมวก็จะเริ่มเล่นในสิ่งที่น่ากลัวมากขึ้น เริ่มเรียนรู้ที่จะเล่นต่อสู้และมีการต่อสู้ทางสังคมเกิดขึ้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าลูกแมวที่มีตัวเดียวจะเล่นกับวัตถุหรือแม่แมวมากกว่าลูกแมวที่มีเพื่อนร่วมครอกหลายตัว [8]
ลูกแมวจะเริ่มกินอาหารแข็งในช่วงนี้ และมักจะกินสิ่งที่แม่แมวกินถ้ามีโอกาสเข้าถึงอาหารของแม่แมวได้ การเลือกอาหาร (taste preferences) นั้นยังถูกกำหนดขึ้นในช่วงนี้ด้วยเช่นเดียวกัน เวลาหย่านมของลูกแมวนั้นจะมีผลกับพฤติกรรมของลูกแมวในอนาคต [9],[10],[11],[12] โดยลูกแมวที่หย่านมเร็ว (ตั้งแต่อายุ 4 สัปดาห์ขึ้นไป) มักจะแสดงพฤติกรรมล่าเหยื่อ (predatory behavior) เร็วกว่าปกติ ในขณะที่ลูกแมวที่หย่านมช้า (ตั้งแต่อายุ 9 สัปดาห์ขึ้นไป) จะมีพฤติกรรมล่าเหยื่อที่ช้าและฆ่าเหยื่อไม่ค่อยได้
เมื่อลูกแมวอายุประมาณ 3 สัปดาห์ แม่แมวจะเริ่มสอนลูกแมวเรื่องพื้นฐานในการล่าเหยื่อ [13] และเมื่อถึงเวลาที่ลูกแมวอายุประมาณ 5 สัปดาห์ พฤติกรรมการล่าแบบพื้นฐานและพฤติกรรมการล่าแบบอิสระจะสามารถพบเห็นได้อย่างชัดเจน โดยลูกแมวจะไม่สามารถเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อสัญลักษณ์ทางสายตาได้จนกว่าจะอายุอย่างน้อย 1 เดือน แต่ประมาณ 6-8 สัปดาห์ลูกแมวจะเริ่มตอบสนองต่อภัยคุกคามทางสายตาและกลิ่นได้เหมือนแมวที่โตเต็มวัย
ปฏิกิริยาหวาดกลัวต่อสิ่งกระตุ้นที่มีความคุกคามอาจเริ่มแสดงเมื่ออายุได้ 6 สัปดาห์ ส่วนความแตกต่างทางพฤติกรรมส่วนตัวนั้นจะเริ่มต้นขึ้นในช่วงอายุ 2 เดือนเนื่องจากอิทธิพลทางพันธุกรรมและสภาพแวดล้อมในช่วงแรกที่แตกต่างกัน การจับลูกแมวเพิ่มมากขึ้น (เพิ่มความเครียดเพียงเล็กน้อย) นั้นดูเหมือนจะช่วงเร่งพัฒนาการของพวกมันได้ ช่วงเวลาที่ลูกแมวสามารถเข้าสังคมกับมนุษย์และสัตว์สายพันธุ์อื่นๆได้ดีที่สุดคืออายุระหว่าง 2-9 สัปดาห์ และยิ่งมีคนเลี้ยงดูลูกแมวมากขึ้นเท่าใด โอกาสที่ลูกแมวจะกลัวมนุษย์ก็น้อยลงเท่านั้น อาจกล่าวได้ว่าการที่ลูกแมวจะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่เข้าสังคมได้ดีนั้น สิ่งที่สำคัญคือต้องมีการสัมผัสจากมนุษย์ก่อนอายุได้ 7 สัปดาห์เพื่อให้ลูกแมวมีพฤติกรรมที่ยอมรับได้ในสังคม [14] ดังนั้นเจ้าของจึงควรฝึกจับลูกแมวด้วยความอ่อนโยนอย่างสม่ำเสมอและเป็นประจำ (หยิบจับและอุ้ม) ก่อนลูกแมวจะอายุ 3 เดือน อีกทั้งยังควรเริ่มให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้แม้จะเพิ่งคลอดออกมาได้ไม่นานก็ตาม (รูปภาพที่ 3) นอกจากนี้สิ่งสำคัญคือต้องฝึกให้ลูกแมวสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นใหม่ๆที่ไม่เป็นอันตรายในช่วงนี้อีกด้วย [15] เพราะฉะนั้นจึงสรุปได้ว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดในการเริ่มชั้นเรียน “อนุบาลลูกแมว” (กล่องข้อความที่ 1) นักพฤติกรรมสัตวแพทย์ในปัจจุบันเชื่อว่าห้องเรียนพฤติกรรมการเข้าสังคมของลูกแมว (เมื่อมีการสอนอย่างเหมาะสม) นั้นมีประโยชน์ อีกทั้งแนวคิดนี้ก็ถูกรวบรวมอยู่ในแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับพฤติกรรมของแมวของ American Association of Feline Practitioners (AAFP) feline behavior guidelines [16]
กล่องข้อความที่ 1 ข้อบ่งชี้สำหรับห้องเรียนอนุบาลลูกแมวที่ประสบความสำเร็จ
|
• ควรเปิดห้องเรียนในช่วงแรกโดยไม่มีลูกแมวเพื่อให้เจ้าของมีสมาธิกับหัวข้อที่กำลังจะสอน
• ห้องเรียนแรกควรจะมีหัวข้อครอบคลุมการดูแลลูกแมว พูดคุยเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ปกติของแมว และช่วยเจ้าของออกแบบสภาพแวดล้อมที่ตอบสนองความต้องการของลูกแมวทั้งหมดและในขณะเดียวกันก็ป้องกันการพัฒนาปัญหาพฤติกรรมในอนาคต
• ห้องเรียนอาจจะต้องดำเนินการในช่วงเวลาสั้นๆเพราะช่วงเข้าสังคมของลูกแมวจะสิ้นสุดที่อายุประมาณ 9 สัปดาห์ ยกตัวอย่างเช่น อาจจำเป็นที่จะต้องสอน 3 ครั้งภายใน 1 สัปดาห์
• ลูกแมวที่เข้าร่วมควรมีอายุระหว่าง 8-13 สัปดาห์ โดยต้องปราศจากปรสิตภายนอกและปลอดโรคติดเชื้อ รวมถึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนอย่างน้อย 1 เข็มก่อนจะเริ่มเรียน โดยเวลาเข้าร่วมที่แน่นอนนั้นจะขึ้นกับตารางการฉีดวัคซีนของลูกแมวและข้อจำกัดที่ว่าลูกแมวจะย้ายบ้านเมื่อไร
• ไม่แนะนำให้ลูกแมวที่มีอายุมากกว่า 13 สัปดาห์เข้าร่วม แต่ควรสนับสนุนให้เจ้าของแมวแก่เข้าร่วมชั้นเรียนโดยไม่มีแมวอยู่ด้วย
• ห้องเรียนในอุดมคติควรมีลูกแมวแค่ 3 ตัว สูงสุดไม่เกิน 6 ตัว
• ควรสนับสนุนให้ทุกคนในครอบครัวเข้าร่วม โดยเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบต้องมาพร้อมกับผู้ใหญ่
• ห้องเรียนจะจัดการได้ง่ายขึ้นถ้ามีผู้สอน 2 คน แม้ว่าโดยปกติแล้วผู้สอนเพียงหนึ่งคนก็สามารถรับมือได้ เพราะลูกแมวนั้นไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์มากเท่ากับลูกสุนัข
• พื้นที่ว่างจะเป็นตัวกำหนดจำนวนลูกแมวและจำนวนคนที่สามารถรองรับได้ โดยควรมีพื้นที่ให้ทุกคนได้นั่ง และควรมีที่ว่างสำหรับวางอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เสาลับเล็บแมว กระบะทราย ของเล่นและตะกร้า โดยห้องเรียนควรจะต้องป้องกันไม่ให้แมวหนีได้ด้วย
• จัดทำเอกสารประกอบคำบรรยายเพื่อให้เจ้าของสามารถทบทวนความรู้ด้วยตนเองที่บ้านได้ในภายหลัง
|
ช่วงวัยรุ่น
ช่วงวัยรุ่นจะเริ่มต้นเมื่อแมวอายุประมาณ 9 สัปดาห์และยาวไปจนถึงวัยเจริญพันธุ์ (ซึ่งเกิดขึ้นระหว่างอายุ 4-10 เดือน) โดยถึงแม้ว่ารูปแบบพฤติกรรมพื้นฐานจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงนี้ แต่ทักษะการเคลื่อนไหวและการทำงานร่วมกันของอวัยวะต่างๆจะค่อยๆดีขึ้นตามลำดับ รวมไปถึงลูกแมวจะมีความเป็นอิสระมากขึ้น ช่วงเวลานี้ยังเกี่ยวข้องกับการที่ลูกแมวมีความพร้อมที่จะย้ายบ้าน ในช่วงนี้ลูกแมวยังเป็นอิสระจากความต้องการอาหารอย่างเต็มที่ การเล่นและการสำรวจวัตถุต่างๆที่ไม่มีชีวิตรวมไปถึงการเล่นทางการเคลื่อนไหวจะเริ่มต้นเมื่ออายุประมาณ 7-8 สัปดาห์โดยมีจุดสูงสุดที่อายุ 18 สัปดาห์ ส่วนการเล่นทางสังคมจะพบเจอได้บ่อยในช่วงอายุ 4-14 สัปดาห์ อีกทั้งลูกแมวจะเริ่มมีพฤติกรรมการล่าเมื่ออายุได้ 3 เดือน การเล่นทางวัตถุอาจเป็นการเล่นกับสัตว์ตัวอื่นหรือเล่นคนเดียวก็ได้ โดยอาจประกอบไปด้วยการตะปบ การสะกดรอย การพุ่งกระโจน และการกัดสิ่งของโดยใช้อุ้งเท้ายึดวัตถุเอาไว้ ซึ่งการเล่นประเภทนี้เป็นการจำลองลักษณะต่างๆของขั้นตอนการล่าเหยื่อ
แมวบางตัวอาจไม่มั่นใจในตัวมนุษย์มากนักไม่ว่าพวกมันจะได้รับการฝึกให้เข้าสังคมมากแค่ไหนก็ตาม การดูแลแมวอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7-9 สัปดาห์จะช่วยเพิ่มโอกาสที่แมวจะเข้าสังคมได้ดียิ่งขึ้น แม้จะเพียงวันละ 15 นาทีก็ถือว่ามีประโยชน์
ช่วงสัตว์โตเต็มวัย
ช่วงวัยรุ่นนั้นถือว่าสิ้นสุดลงเมื่อแมวเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือก็คือเมื่อแมวสามารถสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศได้ (sexual reproduction) นอกจากนี้ช่วงสัตว์โตเต็มวัยจะดำเนินต่อไปจนกว่าแมวจะสิ้นอายุขัย ลูกแมวเพศเมียอาจแสดงอาการของการเป็นสัดครั้งแรกได้ในช่วงอายุ 3.5-12 เดือน แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วมักจะแสดงอาการเมื่ออายุ 5-9 เดือนก็ตาม ซึ่งจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ แมวสายพันธุ์ต่างๆที่อยู่แถบซีกโลกตะวันออกมักจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ได้เร็วกว่าสายพันธุ์อื่น สัญญาณของการเป็นสัดในระยะแรกนั้นอาจได้รับอิทธิพลจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การที่แมวเกิดในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ การสัมผัสกับแมวเพศผู้ที่โตเต็มวัย การมีแมวเพศเมียตัวอื่นที่เป็นสัด หรือช่วงที่มีแสงเพิ่มขึ้น นอกจากนี้น้ำหนักแมวหรือฤดูกาลที่แมวเกิดก็ยังส่งผลต่อการเป็นสัดเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่ว่าแมวตัวนั้นเกิดในซีกโลกเหนือหรือซีกโลกใต้ก็ล้วนส่งผลทั้งสิ้น แมวเพศเมียเป็นสัตว์ที่การเป็นสัดจะขึ้นอยู่กับฤดูกาล (seasonally polyestrous) ดังนั้นในช่วงฤดูผสมพันธุ์แมวจึงมีโอกาสที่จะผสมพันธุ์ได้หลายช่วงซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการตกไข่ กล่าวคือแมวจะไม่ตกไข่เว้นแต่ว่าจะได้รับการผสมพันธุ์ แมวเพศเมีย 1 ตัวสามารถผสมพันธุ์กับแมวเพศผู้ได้หลายตัวในช่วงเวลาเดียวกัน ส่วนช่วงวัยรุ่นของลูกแมวเพศผู้จะสิ้นสุดลงเมื่อลูกแมวเริ่มสร้างสเปิร์มที่มีชีวิตได้เมื่ออายุประมาณ 8-12 เดือน
ความสมบูรณ์ทางเพศ (sexual maturity) นั้นไม่เท่ากับความสมบูรณ์ด้านการเข้าสังคม (social maturity) ซึ่งคำนี้หมายถึงพัฒนาการของพฤติกรรมทางสังคมในแมวโตเต็มวัยและการมีปฏิสัมพันธ์กับแมวตัวอื่นควบคู่ไปกับพฤติกรรมการป้องกัน/หวงอาณาเขต (territorial defense behavior) โดยเชื่อกันว่าจะแมวจะมีความสมบูรณ์ด้านการเข้าสังคมในช่วงอายุ 36-48 เดือน ซึ่งนานกว่าสุนัข เนื่องจากมีความเชื่อว่าแมวจะต้องมีพัฒนาการทางร่างกายและจิตใจที่สมบูรณ์เพียงพอที่จะรับมือกับการเข้าสังคมในแบบสัตว์โตเต็มวัย
สุดท้ายนี้ ในปัจจุบันมีการให้ความสนใจกับแมวในช่วงสัตว์สูงวัยมากขึ้น แม้ว่าจะมีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับแมวสูงอายุในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับอายุค่อนข้างน้อยก็ตามแต่ก็ได้รับการยอมรับทั่วไปในทางปฏิบัติ โดยการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมหลายอย่างนั้นได้รับการยอมรับในแมวสูงอายุ อีกทั้งความสามารถทางสติปัญญานั้นก็ถดถอยลงเมื่อแมวมีอายุมากขึ้น ปัจจุบันนี้มีการศึกษาจำนวนมากที่กำลังศึกษาเกี่ยวกับการรู้คิดของแมว (feline cognition) และความเสื่อมถอยของการรู้คิดในแมวสูงวัย
บุคลิกภาพ
การที่แต่ละบุคคลมีแนวโน้มที่จะแสดงรูปแบบพฤติกรรม ความคิดและความรู้สึกที่มีลักษณะเฉพาะนั้นถูกอธิบายว่าคือบุคลิกภาพ ความสามารถของแมวในการเข้าสังคมกับมนุษย์นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นลักษณะของบุคลิกภาพที่ได้รับสืบทอดต่อกันมา (รูปภาพที่ 4) งานวิจัยบางชิ้นได้แสดงให้เห็นว่ามีลักษณะทางพันธุกรรมที่แสดงถึงความ “เป็นมิตร” (กล้าหาญ) และ “ไม่เป็นมิตร” (ขี้ขลาด) และบุคลิกภาพส่วนนี้ได้รับอิทธิพลมาจากทางพ่อ (paternally influenced) [17] เพราะฉะนั้นแมวบางตัวอาจไม่มั่นใจในตัวมนุษย์มากนักไม่ว่าพวกมันจะได้รับการฝึกให้เข้าสังคมมากแค่ไหนก็ตาม การดูแลแมวอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 7-9 สัปดาห์จะช่วยเพิ่มโอกาสให้แมวเข้าสังคมได้ดียิ่งขึ้น แม้จะเพียงวันละ 15 นาทีก็ถือว่ามีประโยชน์ โดยผลลัพธ์จะชัดเจนยิ่งขึ้นในลูกแมวที่ขี้อาย ความแตกต่างของบุคลิกภาพของแมวนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่จะตอบสนองต่อความคาดหวังของเจ้าของที่มีต่อความสัมพันธ์กับแมวของตนเอง ทั้งนี้เพราะแมวที่มีบุคลิกภาพกล้าหาญเสียงดังนั้นอาจไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของเจ้าของทุกคน แต่ในขณะเดียวกันก็มีเจ้าของบางคนที่พบว่าแมวขี้อายที่ไม่เป็นมิตรกับผู้คนนั้นรับมือได้ค่อนข้างยาก
สรุป
การทำความเข้าใจช่วงพัฒนาการของแมวจะช่วยให้พวกเราเข้าใจถึงพฤติกรรมของพวกมันได้ดีขึ้นและทราบถึงเหตุผลของพฤติกรรมต่างๆ สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญด้วยเหตุผลหลายประการ เพราะรวมไปถึงความจริงที่ว่าข้อมูลเหล่านี้จะช่วยให้นักเพาะพันธุ์สัตว์เลือกเพาะพันธุ์แมวที่จะกลายเป็นสัตว์เลี้ยงที่ดีที่สุดได้ อีกทั้งยังจะช่วยประสานสายสัมพันธ์ระหว่างแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงกับเจ้าของได้ด้วย (ด้วยเหตุนี้จึงหวังว่าจะช่วยลดความเสี่ยงของการทอดทิ้งแมวและการทำการุณยฆาตเนื่องจากพฤติกรรมไม่พึงประสงค์) สัตวแพทย์นั้นต้องสามารถให้คำแนะนำที่ดีที่สุดแก่เจ้าของเกี่ยวกับแมวและพัฒนาการของแมวเพื่อให้ลูกแมวมีสวัสดิภาพที่เหมาะสมที่สุด วิธีนี้จะทำให้อนาคตของแมวที่เป็นสัตว์เลี้ยงนั้นปลอดภัย
Further reading
- Overall KL. Clinical Behavioural Medicine for Small Animals. St Louis, MI; Mosby, 2013.
- Seksel K. Training Your Cat. Melbourne; Hyland House, 2001.
- Landsberg G, Hunthausen W, Ackerman L. Handbook of Behaviour Problems of the Dog and Cat. Oxford; Butterworth-Heinemann, 2012.
- Beaver B. Feline Behavior; A Guide for Veterinarians (2nd ed.) St Louis, MI; Saunders Elsevier, 2003.
- Bradshaw, JWS. The Behaviour of the Domestic Cat. London; CAB International, 2012.
Kersti Seksel
BVSc (Hons), MRCVS, MA (Hons), FANZCVS, Dip. ACVB, Dip. ECAWBM, FAVA, Sydney Animal Behavior Service, Sydney, Australia
เครือรัฐออสเตรเลีย
ภายหลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยซิดนีย์ Dr.Seksel ได้เข้าทำงานที่อังกฤษก่อนเข้าศึกษาระดับมหาบัณฑิตด้านศิลปศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์ เธอเป็นเพียงคนเดียวในโลกที่ได้การรับรองเป็นสัตวแพทย์เฉพาะทางถึง 3 ด้าน ในด้านพฤติกรรมสัตว์, สมาชิกของ Australian College of Veterinary Scientists in Animal Behavior, ได้รับใบอนุปริญญาบัตรด้านพฤติกรรมสัตว์จากทั้ง American College of Veterinary Behaviorists และ European College of Animal Welfare and Behavioral Medicine ในปัจจุบัน Dr.Seksel เป็นหัวหน้าคลินิกเฉพาะทางด้านพฤติกรรม และผู้ช่วยศาสตราจารย์ที่ University of Queensland และรองศาสตราจารย์ที่ Charles Sturt University เธอได้ก่อตั้งศูนย์อนุบาลลูกแมว (Kitten Kindy®) และเป็นวิทยากรให้กับงานประชุมระดับชาติและระดับนานาชาติ เธอได้จัดงานสัมมนาด้านพฤติกรรมเป็นประจำ และได้แต่งบทเรียนในหนังสือเรียน รวมถึงเป็นที่ปรึกษาให้กับ VIN(Veterinary Information Network)
แหล่งอ้างอิง
- Gallo PV, Werboff J, Knox K. Protein restriction during gestation and lactation; development of attachment behavior in cats. Behav. Neural Biol. 1980;29:216-223.
- Smith B, Jensen G. Brain development in the feline. Nutr. Rep. Int. 1997;16:487.
- Beaver B. Reflex development in the kitten. Appl. Anim. Ethol. 1978;4:93.
- Mellen J. Effects of early rearing experience on subsequent adult sexual behavior using domestic cats (Felis catus) as a model for exotic small felids. Zoo. Biol. 1992;11:17-32.
- Seitz PFD. Infantile experience and adult behavior in animal subjects; II. Age of separation from the mother and adult behavior in the cat. Psychosom. Med. 1959;21:353-378.
- Chon E. The effects of queen (Felis sylvestris)-rearing versus hand-rearing on feline aggression and other problematic behaviors. In; Mills D, Levine E (eds) Current Issues and Research in Veterinary Behavioral Medicine. West Lafayette, Ind. Purdue University Press, 2005;201-202.
- Szenczi P, Banszegi O, Urrutia A, et al. Mother-offspring recognition in the domestic cat; kittens recognize their own mothers call. Develop. Psychobiol. 2016;58:568-577.
- Mendl M. The effects of litter-size variation on the development of play behaviour in the domestic cat; litters of one and two. Anim. Behav. 1988;36:20-34.
- Barrett P, Bateson P. The development of play in cats. Behaviour 1978;66:106-120.
- Bateson P, Mendl M, Feaver J. Play in the domestic cat is enhanced by rationing of the mother during lactation. Anim. Behav. 1990;40:514-525.
- Martin P, Bateson P. The influence of experimentally manipulating a component of weaning on the development of play in domestic cats. Anim. Behav. 1985;33:502-510.
- Tan PL, Counsilman JJ. The influence of weaning on prey-catching behaviour in kittens. Zeit Tierpsychol. 1985;70:148-164.
- Caro TM. Effects of the mother, object play, and adult experience on predation in cats. Behav. Neural Biol. 1980;29:29-51.
- Collard RR. Fear of strangers and play behavior in kittens varied with social experience. Child Develop. 1967;38:877-891.
- Hudson HL, Eckerman CO. Familiar social and nonsocial stimuli and the kittens response to a strange environment. Develop. Psychobiol.1971;4:71-89.
- Quimby J, Gowland S, Carney HC, et al. AAHA/AAFP Feline Life Stage Guidelines J. Feline Med. Surg. 2021;23:211-233.
- McCune S. The impact of paternity and early socialisation on the development of cats behaviour to people and novel objects. Appl. Anim. Behav. Sci. 1995;45:111-126.