หัวข้อ: ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมว

Written by Jordan M. Hampel and Timothy M. Fan

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมว (feline hypercalcemia) นั้นพบได้บ่อยในคลินิก บทความนี้จะครอบคลุมการตรวจวินิจฉัย (diagnostic testing) การวินิจฉัยแยกโรคทางคลินิก (clinical differentialsและกลยุทธ์การจัดการสำหรับภาวะนี้

Reading time5 - 15 min
Cat with upper respiratory symptoms

ประเด็นสำคัญ

Group 15 1

การวินิจฉัยภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมวและสาเหตุที่แท้จริงของภาวะนี้อย่างถูกต้องแม่นยำมักต้องใช้การตรวจร่างกาย การวัดค่าสำคัญต่างๆ (measurement of key analytes) และผลตรวจทางรังสีวิทยา (imaging studies)

Group 15 2

สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้ระดับแคลเซียมในเลือดสูงในแมว คือ ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic hypercalcemia) โรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney diseaseและมะเร็งบางนิด

Group 15 3

ภาวะวิตามินดีเป็นพิษ (vitamin D toxicosis)ความผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ (endocrinopathiesและโรคเรื้อรังที่เกี่ยวกับการอักเสบแบบแกรนูโลมา (chronic granulomatous diseases) จะเป็นสาเหตุที่พบได้น้อยกว่า 

Group 15 4

อาการของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงนั้นอาจไม่มีหรือแสดงอาการเพียงเล็กน้อย การระบุสาเหตุที่แท้จริงให้ได้และเริ่มการรักษาอย่างรวดเร็วเพื่อกระตุ้นการขับแคลเซียมออกจากร่างกายถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการจัดการสัตว์ป่วยและเพื่อให้มีผลการรักษาที่ดี

บทนำ

แคลเซียมเป็นไอออนประจุบวกสอง (divalent cationที่มีความสำคัญในการทำหน้าที่หลายประการทั้งภายในเซลล์และนอกเซลล์ เช่น การส่งสัญญาณจากประสาทไปยังกล้ามเนื้อ (neuromuscular transmission) ปฏิกิริยาของเอนไซม์ (enzymatic reactions)การแข็งตัวของเลือด (hemostatic coagulation) ความตึงตัวของหลอดเลือด (vasomotor tone) การหลั่งฮอร์โมน (hormone secretion) และกระบวนการเผาผลาญของกระดูก (bone metabolism) แคลเซียมในร่างกายมีอยู่สามรูปแบบ ได้แก่ แคลเซียมรูปแบบของไอออน (ionized calcium) แคลเซียมรูปแบบที่จับกับโปรตีน (protein-boundcalciumและแคลเซียมรูปแบบเชิงซ้อนี่จับกับไอออนประจุลบ (complexed with anion fractionscalciumโดยแคลเซียมรูปแบบของไอออน (iCaคิดเป็นประมาณร้อยละ 50ของแคลเซียมทั้งหมดในเลือด (total serum calcium) และเป็นรูปแบบหลักที่มีบทบาททางชีวภาพ (principal biologically active formในการควบคุมการทำงานทางสรีรวิทยาและการทำงานของเซลล์ที่หลากหลาย ทั้งนี้เนื่องจากแคลเซียมมีบทบาททางชีวภาพที่หลากหลาย ระดับ iCaจึงถูกควบคุมอย่างเข้มงวดผ่านการทำงานร่วมกันของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (parathyroid hormone;PTH), 25-dihydroxyvitamin D3 (แคลซิไทรออล (calcitriol)) และแคลซิโิน (calcitonin)1,2,3. ระดับ iCaจะส่งผลโดยตรงต่อการหลั่ง PTH และการสังเคราะห์วิตามิน ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับแคลเซียมในร่างกาย

นอกจากรูปแบบต่างๆของแคลเซียมแล้ว การกระจายตัว(distributionของแคลเซียมภายในร่างกายสามารถอยู่ได้ทั้งภายในเซลล์และภายนอกเซลล์ แคลเซียมภายในเซลล์ (Intracellular calciumเป็นตัวควบคุมหลัก (primary regulatorsของการตอบสนองของเซลล์ต่อสารกระตุ้น (agonistsหลายชนิดผ่านหน่วยรับที่จับคู่กับจีโปรตีน (G-protein coupled receptorsและทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณที่สอง (secondary messengerในการส่งสัญญาณจากผิวเซลล์ (cell surfaceไปยังนิวเคลียส (nucleus) ซึ่งสุดท้ายจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการถอดรหัสของพันธุกรรม (gene transcription) เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของเซลล์(cellular behaviors)และลักษณะปรากฏของเซลล์ (phenotype)4.แม้ว่าภายในเซลล์ ระดับแคลเซียมในไซโซอล (cytosolic calcium concentrationsจะต่ำ แต่ในออร์แกเนลล์ (organelles) จำเพาะบางชนิด เช่น เอนโดพลาสมิกเรติคูลัม(endoplasmic reticulumและไมโทคอนเดรีย (mitochondria) จะมีแคลเซียมสะสมอยู่ในปริมาณสูง ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการเผาผลาญของเซลล์ (physiologic cellular metabolism นอกจากบทบาทสำคัญของแคลเซียมภายในเซลล์แล้ว แคลเซียมในของเหลวนอกเซลล์ (extracellular fluid) ก็ยังทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะที่สำคัญ เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid glandไต และต่อมไทรอยด์ (thyroid)2.  

การควบคุมสมดุลของแคลเซียมในร่างกาย

พื่อรักษาระดับความเข้มข้นในสภาวะคงที่ (steady-state concentrationsของแคลเซียมรูปแบบของไอออน ตัวควบคุมหลักของระบบต่อมไร้ท่อ (endocrine mediators) (ได้แก่ PTH, calcitriol และ calcitoninจะมีบทบาทสำคัญในการทำงานของอวัยวะเป้าหมาย (target organsสามวัยวะคือ ไต ลำไส้และกระดูก 2,5.PTH ทำหน้าที่ควบคุมความผันผวนของระดับแคลเซียมอย่างรวดเร็ว โดยหากระดับแคลเซียมในเลือดเพิ่มขึ้น การหลั่ง PTH ก็จะลดลง ส่งผลให้มีการขับแคลเซียมออกทางหลอดไตส่วนปลาย (distal tubules in the kidneysมากขึ้น ลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ (intestinal absorption of calciumและลดการสลายกระดูกโดยเซลล์ทำลายกระดูก (resorption of osteoclastic bone)2,6.แต่หากระดับแคลเซียมลดลง PTH จะทำหน้าที่เพิ่มการดูดซึมแคลเซียมที่หลอดไตส่วนปลายและขับฟอสฟอรัสออก รวมทั้งกระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัสทางอ้อมในลำไส้ นอกจากนี้ PTH ยังทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างกระดูก (osteoblast cell) (ในระยะแรก) หรือเพิ่มจำนวนเซลล์ทำลายกระดูก (osteoclast cell)และกิจกรรมการสลายกระดูก (ในระยะหลัง)5,7.

คลซิไทรอลทำหน้าที่กระตุ้นการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ (intestinal calcium absorption) ยับยั้งการสังเคราะห์ PTH โดยลดการถอดรหัส mRNA ของ PTH ส่งเสริมการสลายกระดูกโดยเซลล์ทำลายกระดูกและควบคุมการสังเคราะห์แคลซิไทรอลในเซลล์บุผิวของไต (renal epithelial cellด้วยการควบคุมแบบยับยั้งย้อนกลับ (negative feedback)5. ในขณะที่แคลซิโทนินจะถูกหลั่งเมื่อระดับแคลเซียมในเลือดสูงขึ้น (hypercalcemia)หรือเมื่อรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง โดยการหลั่ง ฮอร์โมนแกสตริน (gastrin) และโคลีซิสโตไคิน (cholecystokinin) จากลำไส้ ทั้งนี้แม้ว่าแคลซิโทนินจะไม่ใช่ปัจจัยหลักในการควบคุมแคลเซียมอย่างรวดเร็ว แต่ก็ทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนฉุกเฉิน (emergency hormoneในการลดระดับแคลเซียมในเลือด อีกทั้งยังเป็นฮอร์โมนต่อต้านการควบคุม (counterregulatory hormone)ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการควบคุมสมดุลหากมีการเพิ่มขึ้นของแคลเซียมอย่างรวดเร็ หน้าที่หลักของแคลซิโทนินคือยับยั้งการสลายกระดูกโดยเซลล์ทำลายกระดูก 8.

การประเมิณสัตว์ป่วย

าการของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมวนั้นมักไม่ชัดเจน เกิดขึ้นเป็นพักๆ (intermittentและไม่เฉพาะเจาะจง (non-specific)ดังนั้นเจ้าของสัตว์อาจไม่ทันได้สังเกตเห็น โดยทั่วไปแล้วอาการเบื่ออาหาร (anorexia) จะเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด ร่วมกับอาการอาเจียน อ่อนเพลีย อ่อนแรง ท้องผูก (constipationปัสสาวะมากผิดปกติ (polyuria) และดื่มน้ำมากผิดปกติ (polydipsia)หรือเรียกรวมกันว่าPUPDก็มีรายงานค่อนข้างบ่อยเช่นกัน 9,10.แมวบางตัวอาจแสดงอาการของโรคระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (lower urinary tract disease) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการพบแคลเซียมในปัสสาวะ (calciuresisและการเกิดนิ่วแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate stones11.ดังนั้นอาจพบภาวะทางเดินปัสสาวะอุดกั้น (urinary obstructionจากนิ่วในทางเดินปัสสาวะ (urolithiasisได้ อาการปัสสาวะมากและดื่มน้ำมาก(PUPD) จะพบในแมวได้น้อยกว่าเมื่อเทียบกับสุนัขที่มีภาวะแคลเซยมในเลือดสูง เนื่องจากแมวสามารถควบคุมความเข้มข้นของปัสสาวะได้ดีกว่า3.

เพื่อวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง สัตวแพทย์จำเป็นต้องใช้วิธีการทางคลินิกอย่างเป็นระบบ (รูปภาพที่ 1) ซึ่งรวมถึงการตรวจร่างกายอย่างละเอียด การตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (complete blood countการตรวจค่าเคมีของเลือด (serum biochemistry) การตรวจปัสสาวะ (urinalysis) การวัดระดับความเข้มข้นของiCaและ PTH และการตรวจทางรังสีวิทยาด้วยภาพถ่ายรังสี (radiography) ช่องอกและอัลราซาวด์ (ultrasonographyช่องท้อง การตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมอาจรวมถึงการวัดระดับ 25-hydroxy-vitamin D, 24,25(OH)2-vitamin D, calcitriolและparathyroid hormone-related peptide (PTH-rpในเซรั่มรวมถึงการตรวจทางรังสีวิทยาขั้นสูง เช่น การอัลราซาวด์ลำคอเพื่อตรวจหาก้อนเนื้องอกของต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid nodules) ที่น่าสงสัยหรือการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (computed tomography (CT)เพื่อค้นหาเนื้องอกที่ซ่อนอยู่ การวัดระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์จะช่วยระบุว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงนั้นเกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์หรือไม่ (parathyroid-dependent or parathyroid-independent โดยแมวส่วนใหญ่จะมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์

การวัดระดับฮอร์โมนพาราไทรอยด์จะช่วยระบุว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงนั้นเกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์หรือไม่ (parathyroid-dependent or parathyroid-independent) โดยแมวส่วนใหญ่จะมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์

Jordan M. Hampel

 

การแปลผลการตรวจวินิจฉัย

  • การตรวจค่าเคมีของเลือดและการวัดระดับ iCa:การเพิ่มขึ้นของแคลเซียมในเลือด (total calcium) นั้นสามารถตรวจพบได้จากการตรวจเคมีของเลือดแบบคัดกรองทั่วไป (routine screening biochemistry panels) แต่ไม่สามารถบอกถึงสัดส่วนของแคลเซียมในรูปแบบต่างๆได้อย่างแม่นยำ ในกรณีที่สงสัยว่ามีความผิดปกติของการควบคุมสมดุลแคลเซียม (dysregulated calcium homeostasis)สัตวแพทย์ควรวัดระดับ iCaซึ่งจะช่วยยืนยันได้ว่ามีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจริงหรือไม่ โดยปกติในห้องปฏิบัติการจะกำหนดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมวว่าต้องมีแคลเซียมในเลือดมากกว่า 10.8 mg/dL (2.7 mmol/L) หรือแคลเซียมรูปแบบของไอออนมากกว่า 5.6 mg/dL (> 1.4 mmol/L) 9.นอกจากนี้การตรวจค่าเคมีของเลือดยังมีประโยชน์ในการประเมินการทำงานของไต (renal functionและความเข้มข้นของฟอสเฟต(phosphate concentration3.ซึ่งวามเข้มข้นของฟอสเฟตสามารถช่วยจัดลำดับความสำคัญของสาเหตุที่เป็นไปได้ของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงได้ โดยการเพิ่มขึ้นของระดับฟอสฟอรัสจะบ่งชี้ถึงภาวะไตวายที่เกิดจากโรคที่มีพยาธิสภาพที่ไต (intrinsic renal failure) ภาวะวิตามินดีเป็นพิษ (vitamin D toxicosis)หรือโรคสลายกระดูก (osteolytic disease12.

  • การตรวจปัสสาวะ: ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น แมวมีแนวโน้มที่จะเกิดนิ่วแคลเซียมออกซาเลตเมื่อมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูง11. แม้ว่าโรคเบาจืดที่เกิดจากความผิดปกติของไต (secondary nephrogenic diabetes insipidusจะพบได้บ่อยในแมวที่มีภาวะปัสสาวะมากปฐมภูมิ (primary polyuriaและภาวะดื่มน้ำมากทุติยภูมิ (secondary polydipsia)แต่ความถ่วงจำเพาะของปัสสาวะ (urine specific gravityในแมวมักมากกว่า 1.030 และแมวที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงยังสามารถควบคุมความเข้มข้นของปัสสาวะได้อย่างเต็มที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่แมวไม่ได้เป็นโรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney disease (CKD)ร่วมด้วย9.
  • อร์โมนพาราไทรอยด์ (parathyroid hormone;PTH): การวัดระดับ PTH จะช่วยระบุว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงนั้นเกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์หรือไม่ (parathyroid-dependent or parathyroid-independentโดยแมวส่วนใหญ่จะมีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่ไม่เกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์ทั้งนี้ภายใต้สภาวะปกติของร่างกาย การผลิต PTH จากต่อมพาราไทรอยด์จะถูกระงับเมื่อเกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูง ดังนั้นหากระดับ PTH อยู่ในช่วงสูงสองในสามของช่วงค่าอ้างอิง (reference interval) หรือสูงกว่าช่วงค่าอ้างอิงก็จะสนับสนุนการวินิจฉัยภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่เกี่ยวข้องกับพาราไทรอยด์3.
  • เปปไทด์ที่ออกฤทธิ์คล้าอร์โมนพาราไทรอยด์ (parathyroid hormone-related peptidePTH-rp)):PTH-rpเป็นปัจจัยที่คล้ายกับ PTH และมีบทบาทสำคัญในพยาธิกำเนิด (pathogenesisของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็ง (humoral hypercalcemia of malignancyHHM) แต่ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นฮอร์โมนที่ควบคุมแคลเซียมโดยตรง 13. โดยแนะนำให้วัดระดับPTH-rpเมื่อสงสัยว่ามะเร็งเป็นสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง อย่างไรก็ตามอาจจะไม่สามารถตรวจพบได้แม้ว่าจะมีเนื้องอกอยู่ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรใช้ PTH-rpเพียงอย่างเดียวในการวินิจฉัยแยกโรคเนื้องอกออกจากสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง3.
  • การวัดระดับสารเมแทบอไลต์ (metabolites): 1,25 dihydroxycholecalciferol (คลซิไทรออล (calcitriol)และ25-hydroxyvitamin D3 (แคลซิไดออล (calcidiol))สามารถช่วยในการวินิจฉัยหาสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในสัตว์เลี้ยงชนิดต่างๆ เนื่องจากสารเมแทบอไลต์องวิตามินดีจะมีลักษณะทางเคมีเหมือนกันในสัตว์ทุกสปีชีส์14,15. แคลซิไทรอลจะเป็นตัววัดของวิตามินดีรูปออกฤทธิ์ (active form of vitamin D) ในขณะที่แคลซิไดออลสะท้อนถึงการได้รับโคเลแคลซิเฟรอล (cholecalciferolจากการรับประทานหลังจากผ่านกระบวนการไฮดรอกซิเลชัน (hydroxylationและเป็นรูปแบบหลักของวิตามินดีที่หมุนเวียนในร่างกาย (circulating vitamin D3.ภาวะวิตามินดีเป็นพิษที่เกิดจากการกระทำของแพทย์ (Iatrogenic hypervitaminosis D toxicity) นั้นสามารถเกิดได้จากการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร การรับประทานอาหารที่ไม่สมดุล การรับประทานพืชที่มีพิษ หรือการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบเป็นโคลแคลซิเฟรอลหรือแคลซิไทรอลเข้าไปโดยไม่ได้ตั้งใจ (indiscriminate consumption)ซึ่งทั้งหมดนี้อาจนำไปสู่ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงได้ ในแมวที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic hypercalcemiaIHC) ระดับแคลซิไดออลมักอยู่ในช่วงค่าอ้างอิงเพราะฉะนั้นระดับแคลซิไทรละ/หรือแคลซิไดออลที่ปกติในแมวจึงไม่ได้หมายความว่าสารเมแทบอไลต์เหล่านี้จะไม่มีส่วนร่วมในพยาธิสรีรวิทยาของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง (pathophysiology of hypercalcemia)9.
  • การดูภาพทางรังสีวินิจฉัย (diagnostic imaging): การถ่ายภาพรังสีช่องอกและช่องท้องจะสามารถช่วยในการตรวจหามะเร็งหรือรอยโรคจากการอักเสบแบบแกรนูโลมา (granulomatous lesions)ได้ โดยหากพบก้อนที่ผิดปกติ สัตวแพทย์ควรทำการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม เช่น การตรวจทางเซลล์วิทยาจากการเจาะดูดก้อนด้วยเข็มขนาดเล็ก (including fine-needle aspirate cytologyหรือการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy)เพื่อยืนยันกระบวนการของโรคพื้นเดิม (underlying disease processes) (รูปภาพที่ 2)การอัลราซาวด์ความถี่สูง(high frequency ultrasound) ที่บริเวณคอจะสามารถตรวจหาความผิดปกติทางกายภาพ (physical abnormalitiesของต่อมพาราไทรอยด์ เช่น ขนาดหรือรูปร่างที่ผิดปกติได้16.อีกทั้งยังสนับสนุนการวินิจฉัยภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่เกี่ยวข้องกับต่อมพาราไทรอยด์ (parathyroid-dependent hypercalcemia) การสะสมของแคลเซียมในเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissue calcification) จะสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผลิตภัณฑ์แคลเซียม ฟอสเฟตมีค่ามากกว่า 60 mg/dL (3.3 mmol/L) โดยไตและเยื่อเมือกของกระเพาะอาหาร (gastric mucosaจะเป็นอวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในกรณีดังกล่าวสัตวแพทย์อาจตรวจพบการเกิดแร่ธาตุสะสมแบบแพร่กระจาย (metastatic mineralization) ผ่านการถ่ายภาพทางรังสีวิทยาทั่วไป9.

 


CT image of a pulmonary mass consistent with lung carcinoma
a
History image of the mass cytology consistent with lung carcinoma
b

ภาพที่ 2 แมวที่มีอาการแสดงทางคลินิกที่ไม่ชัดเจน เช่น มีอาการเบื่ออาหารและพบระดับแคลเซียมในเลือดเพิ่มสูงขึ้น (elevated total serum calciumการตรวจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan) (a) พบว่ามีก้อนเนื้อในปอด (pulmonary mass) ซึ่งการตรวจางเซลล์วิทยา (b) ยืนยันว่าเป็นมะเร็งปอด (lung carcinoma) ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็ง (humoral hypercalcemia of malignancyHHM)

 

© ภาพทางเซลล์วิทยาของ Dr. Michael Rosser/© Timothy M. Fan (a)

าเหตุเฉพาะของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง

ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมวสามารถเชื่อมโยงเข้ากับพยาธิสภาพที่หลากหลายซึ่งรวมถึงมะเร็ง (cancerous malignancies) ภาวะไตวาย (renal failure) ความไม่สมดุลของฮอร์โมน (endocrine imbalancesและภาวะพิษ (toxicosis)โดยน่าสนใจว่าการใช้อาหารสูตรรักษาโรคหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีการใช้เพื่อส่งเสริมการสร้างความเป็นกรดในปัสสาวะ (promote urinary acidificationสำหรับการป้องกันนิ่วนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นสาเหตุใหม่ที่ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมว 11,17.ทั้งนี้แม้ว่าจะมีสาเหตุและอาการแสดงทางคลินิกที่หลากหลาย (รูปภาพที่ 3) แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็ยังคงเป็นภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (IHC) ตามที่การศึกษาหลายฉบับได้ระบุไว้ ซึ่ง IHC เป็นการวินิจฉัยแยกโรคที่พบได้เฉพาะในแมว การวิเคราะห์แบบสำรวจครั้งใหญ่ (large surveys)ได้ระบุสาเหตุหลักสามอันดับแรกของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมว ได้แก่:  

1. IHC  

2. โรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney disease; CKD)  

3. โรคที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง (malignancy associated diseases)


Word clouds around a cat showing common etiologies and signs of hypercalcemia
รูปภาพที่ 3 ภาพคำที่แสดงถึงอาการแสดงทางคลินิก (สีเทา) และสาเหตุ (สีแดง) ของภาวะแคลเซียมรูปแบบของไอออนในเลือดสูงในแมว โดยสาเหตุหลักและอาการแสดงทางคลินิกที่พบบ่อยจะถูกระบุด้วยเครื่องหมาย * © Timothy M. Fan / วาดใหม่โดย Sandrine Fontègne
สาเหตุอื่นที่พบได้ไม่บ่อย ได้แก่ ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติแบบปฐมภูมิ (primary hyperparathyroidism) โรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบแบบแกรูโลมา (granulomatous disease) ภวะวิตามินดีในร่างกายสูง (hypervitaminosis Dและภาวะต่อมหมวกไตชั้นนอกทงานน้อยกว่าปกติ(hypoadrenocorticism)9. ทั้งนี้ถึงแม้ว่า IHC จะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง แต่ต้ออาศัยการวินิจฉัยโดยคัดออก (diagnosis of exclusion)และควรมีการวินิจฉัยแยกโรคอย่างเป็นระบบก่อนที่จะยอมรับว่า IHC เป็นสาเหตุหลักของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง 
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (Idiopathic hypercalcemiaIHC):ถึงแม้ว่า IHC จะเป็นการวินิจฉัยที่พบได้บ่อยที่สุดแต่สาเหตุนั้นก็ยังไม่ชัดเจน โดยอาการแสดงทางคลินิกของ IHC นั้นมักจะไม่ชัดเจนหรือไม่มีอาการและการวินิจฉัยมักเป็นผลจากการตรวจพบโดยบังเอิญ (incidental finding) บางครั้งแมวอาจมีระดับแคลเซียมที่สูงขึ้นนานหลายเดือนโดยไม่มีอาการแสดงทางคลินิกใดใด18. แต่หากมีอาการแสดงทางคลินิกเกิดขึ้น อาการแสดงเหล่านั้นมักเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร (gastrointestinal systemเช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย ท้องผูก อาเจียน หรือเบื่ออาหาร ในสัตว์ป่วยกลุ่มนี้ ระดับแคลเซียมในเลือด (จากการตรวจค่าเคมีในเลือด) และระดับแคลเซียมรูปแบบของไอออน (iCaจะสูงขึ้น ในขณะที่ระดับฟอสเฟต,PTH-rpและวิตามินดีจะอยู่ในช่วงค่าอ้างอิง3.
  • โรคไตวายเรื้อรัง (chronic kidney disease; CKD):ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถทำให้เกิดความเสียหายที่ไตหรือเป็นผลสืบเนื่องมาจากโรคไตวายเรื้อรังได้ เพราะฉะนั้นการแยกแยะว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเป็น “สาเหตุหรือผลกระทบ(cause or effect)” ในแมวที่มีภาวะไตวายเฉียบพลันที่สาเหตุเกิดจากความผิดปกติของไต (renal azotemia) อยู่แล้วจึงอาจเป็นเรื่องที่ยาก สำหรับแมวส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไตวายเรื้อรังในระยะเริ่มต้นถึงกลาง ระดับแคลเซียมรูปแบบของไอออนมักจะอยู่ในช่วงปกติหรือต่ำในขณะที่แคลเซียมในเลือด (total calcium)มักจะปกติหรือสูงขึ้น3.ซึ่งอาจเกิดจากการที่ระดับฟอสเฟตในเลือดเพิ่มสูงขึ้นร่วมกับการขับแคลเซียมออกทางไต (renal clearanceลดลง ทำให้เกิดการสร้างสารประกอบกับแคลเซียมรูปแบบของไอออน (iCa)19. ระดับความเข้มข้นของ PTH ในเลือดมักจะเพิ่มสูงขึ้นในสัตว์ป่วยที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่เกี่ยวข้องกับภาวะไตวาย 2.
  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็(malignancy-associated hypercalcemia): ภาวะนี้พบได้บ่อยในสุนัขมากกว่าแมว โรคมะเร็งเป็นสาเหตุของการรบกวนสมดุลแคลเซียมในเลือด (calcium disturbances) โดยจะพบในแมวที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงประมาณ 1 ใน 3 ขณะที่ในสุนัขสามารถพบได้ถึง 2 ใน 320. ในทางกลไก ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็งนั้นเกิดจากผล (humoral effects) ของ PTH-rpหรือไซโตไคน์ที่เกี่ยวข้องกับการดูดซึมแคลเซียม (resorptive cytokines) ซึ่งมีผลที่กระดูก ไตและอาจรวมถึงลำไส้ 2.มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphomaและมะเร็งสเควมัสเซลล์ (squamous cell carcinomaเป็นสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็งที่พบได้บ่อยที่สุดในแมว (รูปภาพที่ 4) นอกจากนี้ยังพบเนื้องอกชนิดอื่นๆ เช่น multiple myeloma, bronchogenic carcinoma/adenocarcinoma, osteosarcoma, fibrosarcoma, undifferentiated sarcoma, undifferentiated renal carcinoma, anaplastic carcinoma of the lung และ diaphragm, and thyroid carcinoma ได้เช่นกัน
  • Hyperparathyroidism: primary hyperparathyroidism is rare in cats and is often associated with an increase in both total and iCa concentrations, increased PTH, decreased phosphate, and normal to increased calcitriol levels [16]. Excessive and inappropriate secretion of PTH by the parathyroid glands relative to serum iCa concentration characterizes this condition. Pathologic elevations in calcium can also be associated with secondary hyperparathyroidism (nutritional or renal). The nutritional form is typically associated with a predominantly meat diet that is low in calcium but high in phosphate, resulting in PTH production [3]. The renal form develops from decreased renal clearance of phosphate in patients with compromised glomerular filtration, with compensatory stimulation of PTH production. 
  • ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติ (hyperparathyroidism):ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติแบบปฐมภูมิ (primary hyperparathyroidism) พบได้ยากในแมวและมักเกี่ยวข้องกับการเพิ่มขึ้นของระดับแคลเซียมในเลือด (total calcium) และระดับแคลเซียมรูปแบบของไอออน การเพิ่มขึ้นของ PTH การลดลงของฟอสเฟตและระดับแคลซิไทรออลที่ปกติหรือเพิ่มสูงขึ้น 16.โดยภาวะนี้เกิดจากการหลั่ง PTH จากต่อมพาราไทรอยด์ที่มากเกินไปและไม่เหมาะสมซึ่งสัมพันธ์กับระดับความเข้มข้นของiCa ในเลือด การเพิ่มขึ้นของระดับแคลเซียมที่ผิดปกติยังสามารถพบได้ในภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติแบบทุติยภูมิ (secondary hyperparathyroidism) (ซึ่งมีสาเหตุมาจากโภชนาการหรือปัญหาที่ไต) โดยรูปแบบที่เกี่ยวข้องโภชนาการมักเกี่ยวข้องกับอาหารที่เน้นเนื้อสัตว์เป็นหลักซึ่งจะมีแคลเซียมต่ำแต่มีฟอสเฟตสูง ทำให้มีการผลิต PTH 3. ในขณะที่รูปแบบที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่ไตนั้นจะเกิดจากการขับฟอสเฟตออกทางไตลดลงในสัตว์ป่วยที่มีการกรองที่โกลเมอรูลัส (glomerular filtration) ลดลง ทำให้มีการกระตุ้นการผลิต PTH ตามมา
  • ภาวะวิตามินดีในร่างกายสูง (hypervitaminosis D):ภาวะวิตามินดีในร่างกายในร่างกายสูงหมายถึงความเป็นพิษที่เกิดจากการได้รับโคเลแคลซิเฟรอล (cholecalciferol) (วิตามินดี 3) และเออร์โกแคลซิเฟรอล (ergocalciferol) (วิตามินดี 2) มากเกินไป รวมถึงแคลซิไดออล (calcidiol)หรือแคลซิไทรออล (calcitriol) สาเหตุที่ถูกรายงานไว้นั้นมีหลากหลาย โดยรวมถึงการเกิดจากการกระทำของแพทย์ (iatrogenic) จากการเสริมอาหารที่มากเกินไป นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ เช่น การรับประทานพืชบางชนิด เช่น jessamine (ี่มีไกลโคไซด์ของแคลซิไทรออล (glycosidesof calcitriol) สารกำจัดหนู (rodenticides) ที่มีโคเลแคลซิเฟรอล 3.หรือการใช้ยาขี้ผึ้งเฉพาะที่ (topical ointments) ที่มีอนุพันธ์ของวิตามินดี (vitamin D analogues) สำหรับใช้รักษาโรคสะเก็ดเงิน (psoriasis) ทั้งนี้ในกรณีภาวะวิตามินดีในร่างกายสูง ระดับแคลซิไดออลอาจอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือต่ำกว่าปกติก็ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของวิตามินดีที่เกี่ยวข้องกับการเกิดพิษ นอกจากนี้ความเข้มข้นของฮอร์โมนพาราไทรอยด์ (PTH) จะต่ำเนื่องจากระดับแคลเซียมที่เพิ่มขึ้นและผลการกดระงับ (suppressive effects) ของแคลซิไทรออล ซึ่งในกรณีนี้ ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจะสามารถกลับมาเป็นปกติได้หากได้รับการรักษาเชิงรุกอย่างรวดเร็ว (early and aggressive therapy) ซึ่งจะช่วยให้ขับแคลซิไดออลออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น
  • ภาวะต่อมหมวกไตชั้นนอกทงานน้อยกว่าปกติ(hypoadrenocorticism):ภาวะต่อมหมวกไตชั้นนอกทงานน้อยกว่าปกติหรือที่เรียกกันว่าโรคแอดดิสัน (Addison’s diseaseนั้นพบได้ยากในแมวและเป็นสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่พบได้ไม่บ่อยในสัตว์สปีชีส์นี้ 24.แต่เป็นสาเหตุที่พบได้มากเป็นอันดับสองในสุนัข สาเหตุที่ภาวะนี้ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงนั้นยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดแต่คาดว่าอาจเกี่ยวข้องกับการดูดซึมแคลเซียมกลับที่ไต (renal reabsorption) ที่เพิ่มมากขึ้นสืบเนื่องมาจากภาวะปริมาตรเลือดน้อย (hypovolemia)ภาวะเลือดเป็นกรดจากกระบวนการเผาผลาญ (metabolic acidosis) หรือการสลายกระดูก (bone resorption) ที่เพิ่มขึ้น

Cat with upper respiratory symptoms. Mass (translucent green) within the ventral nasal cavity shows evidence of osteolysis
a
Cytology image confirms lymphoma
b
Geriatric cat with halitosis involving a mass (translucent green) in the cheek.
c
Cytology consistent with squamous cell carcinoma.
d

รูปภาพที่ แสดงให้เห็นตัวอย่างสาเหตุที่ร้ายแรงที่สุดสองประการที่ทำให้เกิดภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็งในแมว (มะเร็งต่อมน้ำเหลือง (lymphoma) และมะเร็งสเควมัสเซลล์ในช่องปาก (oral squamous cell carcinoma)แมวที่มีอาการทางระบบทางเดินหายใจส่วนบน (upper respiratory symptoms) และมีระดับแคลเซียมในเลือดสูง(a) โดยพบผลจากก้อน (mass effect) (สีเขียวสะท้อนแสง) ในโพรงจมูกส่วนล่าง (ventral nasal cavityพร้อมกับเจอการสลายของกระดูก (osteolysis) (หัวลูกศรสีเหลือง) และจากการตรวจทางเซลล์วิทยา (bพบว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (กำลังขยาย 1000 เท่า)แมวสูงอายุที่มีอาการปากมีกลิ่นเหม็น (halitosis) และ (c) พบผลจากก้อนที่บริเวณแก้ม (สีเขียวสะท้อนแสง) และแคลเซียมรูปแบบของไอออน (iCa)เพิ่มสูงขึ้น โดยแมวได้รับการวินิจฉัยว่า (d)เป็นมะเร็งสเควมัสเซลล์จากการตรวจทางเซลล์วิทยา (กำลังขยาย 500 เท่า)

© ภาพทางเซลล์วิทยาโดย Dr. Michael Rosser / © Timothy M. Fan

ารจัดการทั่วไปของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง

สัตวแพทย์ควรพิจารณาปัจจัยหลายประการเพื่อพัฒนาการวางแผนการรักษาสำหรับแมวที่ได้รับผลกระทบ (ตารางที่ 1) เช่น ระดับความรุนแรงของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงอัตราการพัฒนาและการลุกลาม (progressivenessของภาวะนี้รวมถึงผลกระทบของความผิดปกติอื่นๆที่เกี่ยวกับอิเล็กโทรไลต์ (electrolyteและความผิดปกติในสมดุลกรด-ด่างในเลือด (acid-base disturbances)ทั้งนี้ไม่มีการรักษาเดียวที่แนะนำสำหรับการจัดการกับสัตว์ป่วยในทุกกรณี ดังนั้นสัตวแพทย์จึงควรระบุและรักษาสัตว์ป่วยตามสาเหตุของการป่วยอย่างเหมาะสม การรักษาที่แบบประคับประคอง (supportive therapy)จะเน้นไปที่การเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไต (renal excretion of calciumและป้องกันการสลายของแคลเซียม (calcium resorption)จากกระดูก

 

ตารางที่ 1ตัวเลือกการรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมว

 

ยาและขนาดยา ข้อบ่งชี้ กลไกของการออกฤทธิ์

Furosemide

1-2 มก./กกฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ทางการกิน ฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ทุก 8-12 ชั่โมง

  • ภาวะแคลเซียมในเลือดสูงต่อเนื่อง (Persistent hypercalcemia(ไม่เกี่ยวข้องกับโรคไตวายเรื้อรัง)
  • ส่งเสริมให้มีการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะมากขึ้นยับยั้งการดูดกลับของแคลเซียมใหลอดไตส่วนปลาย (renal tubules)

Prednisone/prednisolone

0.5-1 มก./กก. ทางการกิน ทุก 12-24 ชั่โมง

 

Dexamethasone

0.1-0.2 มก./กกฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำ ฉีดยาเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ทุก 24 ชั่วโมง

  • มะเร็ง
  • ไม่ทราบสาเหตุ
  • ภาวะต่อมหมวกไตชั้นนอกทงานน้อยกว่าปกติ
  • ภาวะวิตามินดีในร่างกายสูง
  • ลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ ลดการดูดกลับแคลเซียมในหลอด ไตส่วนปลาย และลดการปลดปล่อยแคลเซียมจากกระดูก

Pamidronate

1-2 มก./กกผสมในสารละลายโซเดียมคลอไรด์ 0.9% ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำช้าๆเป็นเวลา 2 ชั่วโมง 

 ทำซ้ำทุก 21-28 วัน
  • ไม่ทราบสาเหตุ
  • ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติแบบปฐมภูมิ
  • ลดกิจกรรมและการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก แม้ว่าจำนวนของเซลล์ทำลายกระดูกจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากกลไกเฉพาะที่หรือกลไกทางระบบภูมิคุ้มกันของการสลายของกระดูก

    ทั้งนี้การยับยั้งการสลายกระดูกใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน

Alendronate

5-20 มก./แมว ทางการกิน ทุก วัน


  • ไม่ทราบสาเหตุ
  • ภาวะต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากกว่าปกติแบบปฐมภูมิ
  • ยับยั้งการทำงานและการสร้างของเซลล์ทำลายกระดูก 
Calcitonin
4-6 IU/ก. ฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง ทุก 8-12 ชั่วโมง
  • ภาวะวิตามินดีเป็นพิษ
  • โรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบแบบแกรนูโลมา
  • ควรใช้ด้วยความระมัดระวังเมื่อยังไม่มีการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย
  • ยับยั้งการทำงานและการสร้างของเซลล์ทำลายกระดูก 

 

  • การส่งเสริมการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ (calciuresis):สามารถทำได้โดยการเพิ่มปริมาตรหลอดเลือด (vascular volume expansion) โดยการให้น้ำเกลือชนิดเข้มข้นปกติเข้าทางหลอดเลือดดำ (intravenous isotonic saline) (เนื่องจากไม่มีแคลเซียม) ร่วมกับการให้ยา furosemide (ซึ่งจะช่วยยับยั้งการดูดซึมแคลเซียมกลับที่ห่วงเฮนเล (calcium reabsorption in the loop of Henle)) การรักษานี้จะช่วยส่งเสริมให้เกิดการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะอย่างปลอดภัย แต่สิ่งสำคัญคือสัตวแพทย์ต้องแน่ใจว่าการรักษานี้จะไม่ทำให้ภาวะการไหลเวียนของเลือดแย่ลง (perfusion deficiencies) เพราะฉะนั้นจึงต้องตรวจให้แน่ใจว่าแมวไม่มีภาวะแห้งน้ำก่อนที่จะให้ยา furosemide เพื่อป้องกันไม่ให้การทำงานของไตแย่ลง นอกจากนี้ควรให้ปริมาณสารน้ำเพิ่มขึ้นให้เพียงพอกับปริมาณปัสสาวะที่ถูกขับออกจากร่างกายเพื่อป้องกันการขาดน้ำและช่วยส่งเสริมการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ
  • กลูโคคอร์ติคอยด์ (glucocorticoids)กลูโคคอร์ติคอยด์จะช่วยลดการสลายของกระดูก ลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้และเพิ่มการขับแคลเซียมออกทางไต 3. ซึ่งเกิดจากกลไกต่างๆซึ่งรวมถึงการยับยั้งการผลิตพรอสตาแกลนดิน (prostaglandins)ปัจจัยที่กระตุ้นเซลล์ทำลายกระดูก (osteoclast-activating factors) และวิตามินดี กลูโคคอร์ติคอยด์สามารถลดระดับแคลเซียมรูปแบบของไอออนในเลือดของสัตว์ป่วยที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดสูงจากมะเร็งต่อมน้ำเหลือง apocrine gland adenocarcinoma of the anal sac, multiple myeloma, thymomaภาวะต่อมหมวกไตชั้นนอกทงานน้อยกว่าปกติ(hypoadrenocorticism)ภาวะวิตามินดีในร่างกายสูง (hypervitaminosis D) หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบแบบแกรูโลมา (granulomatous disease) ได้ 2.อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนไม่แนะนำให้ใช้กลูโคคอร์ติคอยด์ย่างไม่จำเป็นในสัตว์ป่วยที่ยังไม่ทราบสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงเพราะอาจทำให้สับสนกับการวินิจฉัยขั้นสุดท้าย (definitive diagnosis(เช่น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง) หรืออาจเป็นข้อห้ามใช้ในบางกรณี (เช่น การอักเสบแบบแกรนูโลมา)
  • บิสฟอสโฟเนต(bisphosphonates):บิสฟอสโฟเนต (เช่น พามิโดรเนท (pamidronateอเลนโดรเน(alendronate)ทำหน้าที่ในการยับยั้งการสลายกระดูกโดยลดจำนวนและการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูกบิสฟอสโฟเนตจะทำงานได้แม้ว่าจะมีการเพิ่มจำนวนของเซลล์ทำลายกระดูกเนื่องจากกลไกเฉพาะที่ (localmechanisms) หรือกลไกทางระบบภูมิคุ้มกัน (humoral mechanisms) ของการสลายของกระดูก (osteolysis) ก็ตาม 25.บิสฟอสโฟเนตแบบรับประทานมักใช้ในการรักษาระยะยาวหลังจากการให้บิสฟอสโฟเนตเข้าทางหลอดเลือดดำ โดยมีรายงานว่าอเลนโดรเนสามารถใช้ได้ดีในแมว26.
  • แคลซิโิน (calcitonin):แคลซิโทนินมีประโยชน์ในการรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงรุนแรง และควรเลือกใช้แทนกลูโคคอร์ติคอยด์ในกรณีที่ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ แคลซิโทนินสามารถลดระดับแคลเซียมในเลือดได้อย่างรวดเร็ว โดยลดการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก (osteoclasts) ทั้งนี้แม้ว่าแคลซิโทนินจะเป็นหนึ่งในตัวควบคุมแคลเซียมตามธรรมชาติ แต่ผลของมันมีอายุสั้นและต้องการการให้ยาเป็นประจำทุกวัน นอกจากนี้ยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนในการใช้แคลซิโทนินในการรักษาภาวะแคลเซียมในเลือดสูงที่เกี่ยวข้องกับโรคไตวายเรื้อรังในแมว 27.อย่างไรก็ตามด้วยการออกฤทธิ์ที่รวดเร็ว การใช้แคลซิโทนินในกรณีฉุกเฉินจึงอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม
  • การเปลี่ยนแปลงอาหาร:การเปลี่ยนแปลงอาหารเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการจัดการกับภาวะแคลเซียมในเลือดสูงในแมวในระยะยาว อาหารที่มีเส้นใยอาหาร (fiber)สูงนั้นสามารถช่วยลดการดูดซึมแคลเซียมในลำไส้ได้จากการเข้าไปจับกับแคลเซียม ในขณะที่อาหารเปียกก็จะช่วยส่งเสริมการขับปัสสาวะ นอกจากนี้อาหารเปียกยังมักมีระดับแคลเซียมต่ำกว่าอาหารเม็ด อาหารสำหรับสัตว์ป่วยโรคไตมักมีแคลเซียมและฟอสฟอรัสต่ำ รวมถึงมีคุณสมบัติเป็นด่างมากขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมการขับแคลเซียมออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตามอาหารสูตรรักษาโรคไตอาจมีสัดส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสสูงกว่าอาหารสูตรอื่นเนื่องจากการจำกัดปริมาณฟอสฟอรัส ดังนั้นสัตวแพทย์จึงควรระมัดระวังในการเลือกสูตรอาหารสำหรับสัตว์ป่วยโรคไต โดยแนะนำให้เลือกอาหารที่มีสัดส่วนแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสต่ำกว่า 1.4 ต่อ 127.อย่างไรก็ตามอาหารที่ออกแบบมาเพื่อจัดการกับการเกิดนิ่วแคลเซียมออกซาเลต (calcium oxalate urolithiasisก็ควรพิจารณาใช้ด้วยนื่องจากภาวะแคลเซียมในเลือดสูงสามารถส่งเสริมการเกิดนิ่วชนิดนี้ได้

ทั้งนี้ถึงแม้ว่าภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic hypercalcemia; IHC) จะเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง แต่ต้องอาศัยการวินิจฉัยโดยคัดออก (diagnosis of exclusion) และควรมีการวินิจฉัยแยกโรคอย่างเป็นระบบก่อนที่จะยอมรับว่า IHC เป็นสาเหตุหลักของภาวะแคลเซียมในเลือดสูง

Timothy M. Fan

สรุป

คลเซียมเป็นธาตุที่มีมากในร่างกายและมีบทบาทสำคัญต่อกระบวนการทางสรีรวิทยาและกระบวนการเผาผลาญต่างๆ ระดับความเข้มข้นของแคลเซียมรูปแบบของไอออนที่มีความสำคัญทางชีวภาพนั้นจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวดภายในร่างกาย และหากเกิดการเปลี่ยนแปลงก็อาจจะนำไปสู่ผลกระทบต่อระบบต่างๆของร่างกายและอวัยวะหลายระบบซึ่งอาจเป็นอันตรายอย่างรุนแรง มีภาวะทางพยาธิวิทยาหลายภาวะที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในการควบคุมสมดุลแคลเซียมในแมว (feline calcium homeostasis) ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นสาเหตุของภาวะแคลเซียมในเลือดสูงและอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อหรืออวัยวะต่างๆ แต่สาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุดก็คือภาวะแคลเซียมในเลือดสูงโดยไม่ทราบสาเหตุแม้ว่าอาการแสดงทางคลินิกส่วนใหญ่จะไม่จำเพาะเจาะจง แต่การตรวจวินิจฉัยสาเหตุที่แท้จริงให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆนั้นสำคัญมาก เพราะเมื่อระบุสาเหตุได้แล้วการกำหนดการรักษาที่ชัดเจนและการจัดการแบบประคับประคอง (supportive managementจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อชีวิตและเพิ่มโอกาสในการบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

Jordan M. Hampel

Jordan M. Hampel

DVM, Department of Veterinary Clinical Medicine, University of Illinois at Urbana-Champaign (UIUC), Illinois, USA

United States

Dr. Hampel received her Doctor of Veterinary Medicine from the University of Illinois in 2020 and then went on to complete a rotating small animal internship at Michigan State University. She returned to the UIUC to further advance her training as an oncology-dedicated clinical trial intern, and is currently a resident in Medical Oncology and pursuing a Master of Science degree that focuses on targeted strategies to amplify the cytotoxic activities of ionizing radiation therapy.

Timothy M. Fan

Timothy M. Fan

DVM, PhD, Dip. ACVIM (Oncology, Internal Medicine), Department of Veterinary Clinical Medicine, University of Illinois at Urbana-Champaign, Illinois, USA

United States

Dr. Fan received his DVM from the Virginia-Maryland Regional College of Veterinary Medicine in 1995 and continued training to become board-certified in Small Animal Internal Medicine and Oncology at Cornell University and UIUC, respectively. He then completed a PhD focusing on tumor immunology at Illinois, and joined the faculty where he is professor, a core member in the Anticancer Discovery from Pets to People theme, and a program leader for the Cancer Center at Illinois that includes companion animals as sophisticated models to study cancer.

References
  1. Coady M, Fletcher DJ, Goggs R. Severity of ionized hypercalcemia and hypocalcemia is associated with etiology in dogs and cats. Front. Vet. Sci. 2019;6:276.
  2. Schenck PA, Chew DJ, Nagode LA, et al. Disorders of Calcium: Hypercalcemia and Hypocalcemia. In; DiBartola SP, DiBartola SP (eds). In; Fluid, Electrolyte, and Acid-Base Disorders in Small Animal Practice. 3rd ed, St. Louis, Mo. Saunders Elsevier. 2006;122-179.
  3. Finch NC. Hypercalcaemia in cats: The complexities of calcium regulation and associated clinical challenges. J. Feline Med. Surg. 2016;18(5):387-399.
  4. Bagur R, Hajnoczky G. Intracellular Ca(2+) sensing: its role in calcium homeostasis and signaling. Mol. Cell. 2017;66(6):780-788.
  5. Rosol TJ, Chew DJ, Nagode LA, et al. Pathophysiology of calcium metabolism. Vet. Clin. Pathol. 1995;24(2):49-63.
  6. Daniels E, Sakakeeny C. Hypercalcemia: pathophysiology, clinical signs, and emergent treatment. J. Am. Anim. Hosp. Assoc. 2015;51(5):291-299.
  7. Wein MN, Kronenberg HM. Regulation of bone remodeling by parathyroid hormone. Cold Spring Harb. Perspect. Med. 2018;8(8);a031237.
  8. Xie J, Guo J, Kanal Z, et al. Calcitonin and bone physiology: in vitro, in vivo, and clinical investigations. Int. J. Endocrinol. 2020;3236828
  9. de Brito Galvao JF, Parker V, Schenck PA, et al. Update on feline ionized hypercalcemia. Vet. Clin. North Am. Small Anim. Pract. 2017;47(2):273-292.
  10. Savary KC, Price GS, Vaden SL. Hypercalcemia in cats: a retrospective study of 71 cases (1991-1997). J. Vet. Intern. Med. 2000;14(2):184-189.
  11. Broughton SE. O’Neill DG, Syme HM, et al. Ionized hypercalcemia in 238 cats from a referral hospital population (2009-2019). J. Vet. Intern. Med. 2023;37(1):80-91.
  12. Cook AK. Guidelines for evaluating hypercalcemic cats. DVM360. 2008;103(7):392.
  13. Wysolmerski JJ. Parathyroid hormone-related protein: an update. J. Clin. Endocrinol. Metab. 2012;97(9):2947-2956.
  14. Chacar FC, Kogika MM, Zafalon RVA, et al. Vitamin D metabolism and its role in mineral and bone disorders in chronic kidney disease in humans, dogs and cats. Metabolites 2020;10(12):499.
  15. Clarke KE, Hurst EA, Mellanby RJ. Vitamin D metabolism and disorders in dogs and cats. J. Small Anim. Pract. 2021;62(11):935-947.
  16. Parker VJ, Gilor C, Chew DJ. Feline hyperparathyroidism: pathophysiology, diagnosis and treatment of primary and secondary disease. J. Feline Med. Surg. 2015;17(5);427-439.
  17. Bolliger AP, Graham PA, Richard V, et al. Detection of parathyroid hormone-related protein in cats with humoral hypercalcemia of malignancy. Vet. Clin. Pathol. 2002;31(1):3-8.
  18. Midkiff AM, Chew DJ, Randolph JF, et al. Idiopathic hypercalcemia in cats. J. Vet. Intern. Med. 2000;14(6):619-626.
  19. Barber PJ, Elliott J. Feline chronic renal failure: calcium homeostasis in 80 cases diagnosed between 1992 and 1995. J. Small Anim. Pract. 1998;39(3):108-116.
  20. Bergman PJ. Paraneoplastic hypercalcemia. Top. Companion Anim. Med. 2012;27(4):156-158.
  21. Kohart NA, Elshafae SM, Breitbach JT, et al. Animal models of cancer-associated hypercalcemia. Vet. Sci. 2017;4(2);21.
  22. Tebben PJ, Singh RJ, Kumar R. Vitamin D-mediated hypercalcemia: mechanisms, diagnosis, and treatment. Endocr. Rev. 2016;37(5):521-547.
  23. Mealey KL, Willard MD, Nagode LA, et al. Hypercalcemia associated with granulomatous disease in a cat. J. Am. Vet. Med. Assoc. 1999;215(7):959-962, 946.
  24. Peterson ME, Greco DS, Orth DN. Primary hypoadrenocorticism in ten cats. J. Vet. Intern. Med. 1989;3(2):55-58.
  25. Drake MT, Clarke BL, Khosla S. Bisphosphonates: mechanism of action and role in clinical practice. Mayo Clin. Proc. 2008;83(9):1032-1045.
  26. Kurtz M, Desquilbet L, Maire J, et al. Alendronate treatment in cats with persistent ionized hypercalcemia: A retrospective cohort study of 20 cases. J. Vet. Intern. Med. 2022;36(6):1921-1930.
  27. van den Broek DHN, Geddes RF, Williams TL, et al. Calcitonin response to naturally occurring ionized hypercalcemia in cats with chronic kidney disease. J. Vet. Intern. Med. 2018;32(2):727-735.
  28. Ehrlich MR, Rudinsky AJ, Chew DJ, et al. Ionized hypercalcemia can resolve with nutritional modification in cats with idiopathic hypercalcemia or chronic kidney disease. J. Feline Med. Surg. 2024;26(2). Doi:10.1177/1098612X241229811

Other articles in this issue

    Access the PDF of the issue

    แบ่งปันบนโซเชียลมีเดีย