ข้อควรพิจารณาในการให้อาหารสุนัขที่ป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

เขียนโดย Adam J. Rudinsky

 

บทความนี้เขียนโดยสัตวแพทย์ Adam Rudinsky เน้นถึงประเด็นสำคัญในการเลือกอาหารสำหรับสุนัขที่ป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (chronic enteropathy) เพราะในปัจจุบันมีอาหารรักษาโรคทางเดินอาหารเรื้อรังที่ผลิตโดยผู้ผลิตที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะให้เลือกใช้หลายชนิดซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสนแก่สัตวแพทย์ในการเลือกใช้อาหารให้เหมาะสมกับอาการของสุนัข (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)

Reading time5 - 15 min
Dietary considerations for dogs with chronic enteropathies

ประเด็นสำคัญ

Group 15 1

สุนัขหลายตัวที่ป่วยด้วยโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ไม่ทราบสาเหตุ (idiopathic chronic enteropathy) สามารถหายได้ด้วยการเปลี่ยนอาหาร แต่การเข้าใจสุนัขป่วย ชนิดของอาหารรักษาโรค และกระบวนการเกิดโรคจะช่วยให้การรักษาด้วยการเปลี่ยนอาหารประสบความสำเร็จมากขึ้น

Group 15 2

องค์ประกอบของอาหารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นอาหารไขมันต่ำอาจมีความแตกต่างกันทำให้ไม่สามารถใช้ทดแทนกันได้

Group 15 3

อาหารบางอย่างจัดอยู่ในหลายกลุ่มการรักษา ทำให้สัตวแพทย์สามารถเลือกใช้ได้ง่ายและเกิดประสิทธิภาพในการรักษาสูงสุด

Group 15 4

 

บทนำ

Diarrhea is a cardinal sign of a chronic enteropathy, but the possible etiologies are numerous, and include inflammatory, autoimmune, metabolic, neoplastic and infectious causes.
รูป 1 การถ่ายเหลวเป็นหนึ่งในอาการที่เด่นชัดที่สุดของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังโดยสาเหตุการเกิดมีได้มากมายเช่น การอักเสบ ภูมิคุ้มกัน ระบบการเผาผลาญ เนื้องอก และการติดเชื้อ Shutterstock

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (chronic enteropathy หรือ CE) ถูกนิยามไว้ไม่ละเอียดนักในทางสัตวแพทย์ โดยมักใช้อธิบายรวมความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารเรื้อรังทั้งหมด การใช้นิยามว่าเรื้อรังควรพิจารณาในสุนัขป่วยเป็นรายไปโดยยึดจากการซักประวัติและอาการของโรคที่แสดงออก (รูป 1) สุนัขควรแสดงอาการมาไม่น้อยกว่า 10-14 วัน การแยกระยะของโรคลำไส้อักเสบว่าอยู่ในระยะเฉียบพลันหรือเรื้อรังจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งการวินิจฉัยและการรักษาโดยในบทความนี้จะกล่าวถึงเพียงระยะเรื้อรังซึ่งอาจไม่สามารถนำไปใช้ในการจัดการโรคลำไส้อักเสบเฉียบพลันรวมถึงการเลือกอาหารในการรักษาได้ จากการที่นิยามของ CE นั้นค่อนข้างกว้างทำให้หมายรวมถึงความผิดปกติของโรคทางเดินอาหารเรื้อรังที่มีสาเหตุมาจากการอักเสบ ภูมิคุ้มกัน ระบบเผาผลาญ เนื้องอกและการติดเชื้อ

สัตวแพทย์ที่ทำการรักษา CE จำเป็นที่จะต้องวินิจฉัยสาเหตุการเกิดโรคให้ถูกต้องเพื่อที่จะเลือกการรักษาทางยาและการเปลี่ยนอาหารให้เหมาะสม การวินิจฉัยสุดท้าย (definitive diagnosis) ทำได้โดยการประเมินปัจจัยจากตัวสุนัข การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ (การตรวจพยาธิวิทยาทางคลินิก การตรวจอุจจาระ การตรวจภาพวินิจฉัย (รูป 2) การตรวจระดับโมเลกุล และการตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อของระบบทางเดินอาหารไปตรวจ) และการทดลองรักษาโดยพิจารณาเป็นกรณี หนึ่งในเป้าหมายหลักของการวินิจฉัยคือการตัดสาเหตุที่มาจากทางระบบ การติดเชื้อ และเนื้องอกที่มีอาการคล้ายกับ CE ซึ่งตอบสนองต่อการเปลี่ยนอาหารแต่จำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเฉพาะเพิ่มเติม

Imaging modalities such as ultrasound scan can be useful when assessing a dog with a chronic enteropathy.
รูป 2 วิธีการตรวจภาพวินิจฉัยเช่นการใช้คลื่นเสียง (ultrasound) มีประโยชน์ในกรณีที่สุนัขมีปัญหาลำไส้อักเสบเรื้อรัง Shutterstock

ความรู้ความเข้าใจในกลุ่มอาหารเพื่อการรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื่อรังในสุนัข

The success of dietary management is dependent on the relationship between three main factors. It is imperative that the clinician evaluates: (I) the diet history of the patient, (II) the dietary strategies available to the patient, and (III) the disease that is to be treated. A specific dietary approach should be obtainable if these three facets are assessed for each case.
รูป 3 การจัดการด้านอาหารจะประสบความเร็จขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ปัจจัย สัตวแพทย์จำเป็นต้องประเมิน (1) ประวัติการกินอาหารของสุนัข (2) รูปแบบของอาหารรักษาโรค และ (3) การวินิจฉัยโรค การเลือกอาหารจะสามารถทำได้เมื่อพิจารณาข้อมูลจากทั้ง 3 ปัจจัย Adam J. Rudinsky

ความรู้เกี่ยวกับทางเลือกของอาหารที่มีในการรักษาโรคระบบทางเดินอาหารเป็นขั้นตอนแรกในการเลือกใช้อาหารรักษาโรค CE ปัจจุบันไม่มีอาหารที่รักษาโรคได้ครอบจักรวาลโดยที่อาหารในกลุ่มหนึ่งจะมีความเหมาะสมต่ออาการและสถานการณ์หนึ่งโดยที่อาจไม่เหมาะสมกับกรณีอื่น การเลือกใช้อาหารรักษาโรคอย่างเหมาะสมมีความจำเป็นต่อความสำเร็จในการรักษาด้วยอาหาร โรค CE ในสุนัขมักหายได้โดยการเปลี่ยนอาหารและช่วยลดปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะ (การเปลี่ยนแปลงของ microbiome ในทางเดินอาหาร) และการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน(ภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติและความเสี่ยงในการติดเชื้อแทรกซ้อน)เป็นระยะเวลานาน สิ่งที่สัตวแพทย์ควรคำนึงถึง 3 ประการเมื่อทำการเลือกอาหารสำหรับรักษาโรค 1. ประวัติการกินอาหารของสุนัข 2.รูปแบบของอาหารรักษาโรค และ 3.การวินิจฉัยโรค (รูป 3) กลุ่มของอาหารรักษาโรคดังต่อไปนี้พบได้บ่อยและมีจำหน่ายโดยบริษัทที่ผลิตอาหารสุนัขเพื่อการรักษาโรคระบบทางเดินอาหารได้แก่ อาหารที่ย่อยง่าย อาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบ อาหารไฮโดรไลซ์ อาหารไขมันต่ำ และอาหารที่มีใยอาหารสูง (รูป 4) การเลือกใช้อาหารที่อยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งกลุ่มเพื่อการรักษาดูได้จากข้อมูลจากผู้ผลิตร่วมกับประวัติการกินอาหารของสัตว์ป่วยอย่างละเอียด อาหารรักษาโรคทางเดินอาหารที่มีจำหน่ายในปัจจุบันหลายชนิดมีความคล้ายคลึงกันและมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มอาหารรักษาโรคมากกว่าหนึ่งกลุ่มซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสัตวแพทย์ สัตวแพทย์ยังต้องคำนึงว่าอาหารแต่ละชนิดมีความแตกต่างของคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าอาหารที่เลือกสามารถตอบสนองต่อความต้องการของร่างกายสัตว์ป่วยจึงจำเป็นต้องมีการทบทวนข้อมูลของผลิตภัณฑ์อาหารอย่างน้อยปีละครั้ง นอกจากนี้อาหารที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันเช่นอาหารที่ย่อยง่ายจะมีความแตกต่างกันด้านสารอาหารซึ่งอาจส่งผลต่อสัตว์ป่วยหากมีการนำมาใช้แทนกัน

Multiple dietary strategies are marketed towards patients with GI disease. The five that are most commonly utilized include: (I) low-fat diets, (II) fiber-fortified diets, (III) easily digestible diets, (IV) limited-ingredient diets, and (V) hydrolyzed diets. Each diet category should be utilized in the specific areas of chronic enteropathies where they are most likely to exhibit a benefit to the animal.
รูป 4 รูปแบบอาหารสำหรับสัตว์ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารนั้นแบ่งออกได้หลายกลุ่ม โดยมีห้ากลุ่มที่มีการใช้บ่อยที่สุดได้แก่ (1) อาหารไขมันต่ำ (2) อาหารที่เพิ่มใยอาหาร (3) อาหารที่ย่อยง่าย (4) อาหารที่จำกัดวัตถุดิบ และ (5) อาหารไฮโดรไลซ์ ควรเลือกใช้อาหารแต่ละกลุ่มให้เหมาะสมกับสาเหตุของโรค CE ซึ่งจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่สุนัข Adam J. Rudinsky

อาหารย่อยง่าย

กลุ่มอาหารที่ย่อยง่ายคิดเป็นสัดส่วนปริมาณมากในตลาดของอาหารรักษาโรคระบบทางเดินอาหารและถูกนำมาใช้ในการรักษาค่อนข้างบ่อยในรายที่เป็นโรคระบบทางเดินอาหารระยะเฉียบพลัน ในวงการอาหารสัตว์ไม่ได้มีนิยามที่ชัดเจนว่าสิ่งใดที่ทำให้อาหารนั้นมีการย่อยได้สูงหรือวิธีการคำนวณหาการย่อยได้ที่เหมาะสม ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลือกอาหารรักษาโรคจากผู้ผลิตที่มีความน่าเชื่อถือและมีป้ายกำกับว่าเป็นอาหารที่ย่อยง่าย สัตวแพทย์จำเป็นต้องถือเอาตามป้ายกำกับบนบรรจุภัณฑ์เมื่อเลือกอาหารที่ย่อยง่ายเนื่องจากผู้ผลิตหลายรายมักไม่แจ้งถึงคุณสมบัติการย่อยได้ง่ายไว้ในคำแนะนำอาหาร เมื่อพิจารณาจากอาหารที่มีการแจ้งรายละเอียดเกี่ยวกับการย่อยได้สูงพบว่าสารอาหาร macronutrient เช่นโปรตีน ไขมันและคาโบไฮเดรต ถูกย่อยได้ร้อยละ 90 มีปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อการย่อยง่ายของอาหารได้แก่วัตถุดิบ กระบวนการผลิต สรีรวิทยาทางเดินอาหารของสัตว์แต่ละตัว ประชากรแบคทีเรียในทางเดินอาหาร องค์ประกอบของอาหารที่มีส่วนในการย่อยพันธะเคมีหรือทำลายสารอาหาร [1] โดยปัจจัยหลายตัวเป็นปัจจัยที่อยู่นอกเหนืออาหารและส่งผลต่อประสิทธิภาพของอาหารต่อสัตว์แต่ละตัว

อาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบและอาหารไฮโดรไลซ์

อาหารสองกลุ่มนี้พบมากรองลงมาจากกลุ่มแรกในการรักษาโรคระบบทางเดินอาหาร มักถูกใช้ในรายที่ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินอาหารเรื้อรัง อาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบเดิมถูกใช้ในการรักษาสุนัขที่ป่วยด้วยภูมิแพ้อาหารซึ่งพบการแสดงออกของโรคที่ผิวหนัง [2] โดยอาหารชนิดนี้จะไม่มีส่วนผสมที่สุนัขเกิดอาการแพ้ อย่างไรก็ตามในกรณีของ CE พบว่าเป็นการแพ้อาหารชนิด food intolerance มากกว่าที่จะแพ้อาหารชนิด food allergy การแพ้อาหารชนิด food allergy นั้นเกิดจากปฏิกิริยาของระบบภูมิคุ้มกันเสมอแต่การแพ้อาหารชนิด food intolerance สามารถเกิดได้จากหลายกลไก อาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบอาจทำให้สัตว์ป่วยที่มีภาวะ food intolerance มีอาการดีขึ้นโดยไม่มีส่วนผสมที่ทำให้สัตว์เกิดอาการแพ้หรือลดปริมาณสารโดยรวมในทางเดินอาหารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ลง ทั้งนี้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ากลไกทางทฤษฎีนี้จะได้ผลกับสัตว์ป่วยทุกตัวหรือไม่ เมื่อทำการเลือกอาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบในการรักษาโรคควรเลือกอาหารที่ใช้โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตจากแหล่งเดียวโดยต้องเป็นวัตถุดิบที่สัตว์ไม่เคยกินมาก่อน การที่จะเลือกอาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบให้ถูกต้องจำเป็นต้องซักประวัติอาหารของสัตว์ป่วยอย่างละเอียด (รูป5) สัตวแพทย์ยังต้องเน้นย้ำกับเจ้าของสัตว์ป่วยว่ามีอาหารสุนัขที่ขายทั่วไปซึ่งระบุว่าใช้รักษาการแพ้อาหารโดยอาหารเหล่านี้อาจมีส่วนผสมที่ไม่ได้ระบุบนฉลากปะปนอยู่จึงไม่แนะนำให้ใช้ประกอบการรักษา [3]

อาหารไฮโดรไลซ์นั้นผ่านกระบวนการลดสารก่อภูมิแพ้และแอนติเจนโดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของโปรตีน [4] หากกระบวนการไฮโดรไลซ์ในอาหารทำได้อย่างทั่วถึงจะสามารถจัดการสัตว์ป่วยที่มีอาการแพ้อย่างได้ผล อย่างไรก็ตามระดับของการถูกไฮโดรไลซ์นั้นแตกต่างกันไปในแต่ละกระบวนการผลิตและในอาหารที่มีจำหน่ายบางชนิดยังคงมีโอกาสที่สารก่อภูมิแพ้หลงเหลืออยู่หากกระบวนการไม่สมบูรณ์ทำให้มีความจำเป็นในการซักประวัติการกินอาหารของสัตว์ป่วยอย่างละเอียด อาหารไฮโดรไลซ์แต่ละชนิดใช้แหล่งโปรตีนรวมถึงสารอาหาร macronutrient อื่นแตกต่างกันไปจึงต้องพิจารณาจุดนี้เช่นเดียวกับอาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบ คุณสมบัติอื่นของอาหารไฮโดรไลซ์ที่พบได้แก่การย่อยง่ายและมีปริมาณใยอาหารต่ำที่เป็นผลมาจากกระบวนการผลิตซึ่งอาจเกิดทั้งผลดีและผลเสียในสัตว์แต่ละตัว ความกังวลด้านความน่ากินและผลข้างเคียงของอาหารไฮโดรไลซ์ที่พบบ่อยในคนนั้นพบน้อยมากจนถึงไม่พบจากการศึกษาในสุนัข

It is imperative that the clinician obtains a thorough and accurate dietary history in order to select an appropriate limited-ingredient diet.
รูป 5 สัตวแพทย์จำเป็นต้องซักประวัติการกินอาหารอย่างละเอียดและครบถ้วนเพื่อจำกัดวัตถุดิบในอาหารตามความเหมาะสม Shutterstock

อาหารไขมันต่ำและอาหารที่เพิ่มใยอาหาร

กลุ่มสุดท้ายของอาหารรักษาโรคทางเดินอาหารคืออาหารที่มีการปรับเปลี่ยนปริมาณสารอาหาร macronutrient เพื่อหวังผลการรักษา อาหารในกลุ่มนี้มักลดปริมาณไขมันหรือมีการเพิ่มใยอาหารลงไป ไขมันในอาหารถูกระบุว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการจัดการโรคระบบทางเดินอาหารสุนัขบางโรค [5], [6] การที่ลำไส้ไม่สามารถย่อยไขมันได้อย่างสมบูรณ์อาจก่อให้เกิดอาการถ่ายเหลวชนิด osmotic และ secretory diarrhea ได้ [7] ในกรณีที่สงสัยว่าสุนัขป่วยด้วยลำไส้อักเสบเรื้อรังที่ตอบสนองต่อไขมันแนะนำให้ใช้อาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำที่ 1.7 -2.6 กรัมต่อ 100 kcal ซึ่งสามารถสังเกตได้ง่ายบนฉลากอาหารที่ระบุ ทั้งนี้ในทางปฏิบัติไม่ได้มีการระบุว่าอาหารไขมันต่ำต้องมีองค์ประกอบอย่างไรรวมถึงปริมาณไขมันที่เหมาะสมสำหรับสุนัขแต่ละตัว

ใยอาหารถูกเติมในอาหารด้วยเหตุผลเพื่อการรักษาและประโยชน์ด้านอื่น ชนิดของใยอาหารและแหล่งที่มาจะส่งผลที่แตกต่างกันไปในสัตว์ป่วยแต่ละตัว ค่าใยอาหารทั้งหมด (total dietary fiber) สำคัญกว่าค่าเส้นใยหยาบ (crude fiber) ที่ผู้ผลิตนิยมใส่มา [8] ค่า crude fiber ไมได้บอกถึงข้อมูลส่วนของใยอาหารที่ละลายน้ำได้ทำให้มีประโยชน์ต่อสัตวแพทย์น้อยลงในการเลือกอาหาร ประโยชน์ของใยอาหารที่ละลายน้ำได้และใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำได้แก่ การหมักในทางเดินอาหาร การผลิตกรดไขมันที่ระเหยได้ (volatile fatty acid) ทำให้เซลล์เยื่อบุลำไส้แข็งแรง เพิ่มความสมบูรณ์ของ microbiota ในทางเดินอาหาร รวมถึงการบีบตัวของลำไส้และระยะเวลาการเคลื่อนผ่านของอาหารในทางเดินอาหาร

การจัดการโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังในสุนัขที่พบได้บ่อยโดยการเปลี่ยนอาหาร

ภูมิแพ้อาหารแฝง Food intolerance

โรคลำไส้อักเสบ inflammatory bowel disease (IBD) เป็นกลุ่มของโรคทางเดินอาหารที่มีการตอบสนองที่ผิดปกติต่อปัจจัยทางพันธุกรรม เชื้อจุลชีพ ภูมิคุ้มกัน และสิ่งแวดล้อมโดยอาการที่พบได้บ่อยคือการถ่ายเหลว ลำไส้อักเสบชนิดนี้มักเรียกว่าลำไส้อักเสบชนิดที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนอาหาร (food responsive diarrhea; FRD) ที่น่าสนใจคือ 2 ใน 3 ของสุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าแพ้อาหารจะตอบสนองดีต่อการทดลองเปลี่ยนอาหาร (empirical diet) [9] [10] กลุ่มของอาหารที่แนะนำให้ใช้ในสุนัขที่แพ้อาหารได้แก่อาหารจำกัดวัตถุดิบและอาหารไฮโดรไลซ์ แม้ว่าความเห็นของผู้เชี่ยวชาญและรายงานโรคจะแนะนำให้ใช้อาหารสองกลุ่มที่กล่าวมาแต่มีการศึกษาขนาดใหญ่เพียง 3 เรื่องที่ทำการหาประสิทธิภาพของอาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบและอีก 3 เรื่องที่ทำการหาประสิทธิภาพของอาหารไฮโดรไลซ์ [9], [11],[12],[13],  [14]

ไม่มีอาหารใดที่รักษาโรคได้ครอบจักรวาล สัตวแพทย์จำเป็นต้องเลือกอาหารให้ถูกกลุ่มเพื่อให้ประสิทธิภาพในการรักษาที่ดี

Adam J. Rudinsky

การศึกษาขนาดใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับอาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบเป็นการศึกษาย้อนหลังในสุนัขจำนวน 131 ตัวที่เป็นโรค FRD โดยมี 73 ตัวที่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยอาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบ [9] การเลือกอาหารไม่ได้ถูกควบคุมและขึ้นอยู่กับสัตวแพทย์ที่ทำการรักษา ความชอบของเจ้าของสุนัขและตัวสุนัขเอง ถึงกระนั้นผลการศึกษาที่ได้เป็นการยืนยันทฤษฎีของการใช้อาหารรักษาโรคในประชากรสุนัขป่วยจำนวนมาก การศึกษาชนาดใหญ่รองลงมาทำในสุนัขจำนวน 65 ตัว โดยทดลองให้อาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบเป็นเวลา 10 วัน [11] พบการตอบสนองที่ดีต่อการรักษาร้อยละ 60 ในการศึกษานี้ไมได้มีการเปรียบเทียบผลของอาหารแต่ละชนิดแต่ผลที่ได้นั้นมีความคล้ายคลึงกับผลการตอบสนองในการศึกษาอื่น การศึกษาเรื่องสุดท้ายรายงานว่ามีกลุ่มของสุนัขป่วยที่ตอบสนองต่อการให้อาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบ [12] โดยเป้าหมายเดิมของการศึกษานี้ต้องการหาผลของการใช้โพรไบโอติกส์แต่พบว่าสุนัขมีอาการที่ดีขึ้นจากอาหารไม่โดยเกี่ยวข้องกับโพรไบโอติกส์

การวินิจฉัยและหาสาเหตุของโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังมีความสำคัญต่อการรักษาทางยาและการเปลี่ยนอาหารได้ตรงจุด

Adam J. Rudinsky

ในการศึกษาเดียวกันที่มีสุนัขป่วยด้วย FRD จำนวน 131 ตัว พบว่ามีสุนัข 58 ตัวตอบสนองดีต่ออาอาหารไฮโดรไลซ์ซึ่งเป็นการยืนยันอีกครั้งถึงทฤษฎีการใช้อาหารในการรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรังในประชากรสุนัขป่วยกลุ่มใหญ่ [9] ในการศึกษาชิ้นที่สองซึ่งเป็นการศึกษาไปข้างหน้าในสุนัขจำนวน 26 ตัวที่ได้รับอาหารที่ย่อยง่ายหรืออาหารไฮโดรไลซ์อย่างใดอย่างหนึ่ง [13] จากนั้นทำการติดตามผลของอาหารอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาถึง 3 ปี ในระยะเวลา 3 เดือนพบว่าสุนัขที่ได้รับอาหารทั้งสองชนิดร้อยละ 90 สามารถคุมอาการของโรคได้ดีในขณะที่ระยะยาวมีเพียงสุนัขที่กินอาหารไฮโดรไลซ์สามารถคุมอาการได้ใน 1 ปีแรก สุนัขที่กินอาหารที่ย่อยง่ายสามารถคุมอาการได้ร้อยละ 28 ภายใน 6 เดือนแรก และร้อยละ 12 ที่ 12 เดือน จากการศึกษานี้พบว่าการกินอาหารไฮโดรไลซ์ให้ผลระยะยาวที่ดีกว่า ในการศึกษาฉบับสุดท้ายสรุปว่าสุนัขป่วยตอบสนองได้ดีต่อการให้อาหารไฮโดรไลซ์และทำการศึกษาผลทางจุลพยาธิวิทยาของทางเดินอาหาร [14]

กล่าวโดยสรุปจากการศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์แนะนำให้ใช้อาหารจำกัดวัตถุดิบและอาหารไฮโดรไลซ์ในการจัดการโรค FRD โดยที่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่าอาหารชนิดใดมีประสิทธิภาพดีกว่าในการควบคุมอาการของโรค อาหารกลุ่มที่ย่อยง่ายอาจมีประโยชน์ในการรักษาอยู่บ้างแต่จำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพิ่มเติม ผลจากแบบสอบถามที่ไม่เป็นทางการเกี่ยวกับทางเลือกการใช้อาหารอันดับแรกของสัตวแพทย์ระหว่างอาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบและอาหารไฮโดรไลซ์1 ผลของแบบสอบถามที่ได้ค่อนข้างปะปนกันโดยผู้ตอบแบบสอบถามร้อยละ 60 เลือกใช้อาหารไฮโดรไลซ์เป็นอันดับแรกและที่เหลือเลือกอาหารจำกัดวัตถุดิบ ปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาควบคุมเปรียบเทียบข้อดีระหว่างอาหารสองกลุ่ม มีความเป็นไปได้ว่าสุนัขที่ป่วยด้วย FRD จะตอบสนองต่ออาหารเพียงชนิดใดชนิดหนึ่งดังนั้นก่อนที่จะตัดความเป็นไปได้ของโรค FRD จึงควรทดลองรักษาด้วยอาหารมากกว่าหนึ่งกลุ่ม

1 เป็นการสอบถามรายบุคคลซึ่งทำโดย Dr. Katie Tolbert ร่วมกับสมาชิกของ Comparative Gastroenterology Society

การแพ้อาหาร (food allergy)

การแพ้อาหารชนิด food allergy พบได้น้อยกว่า food intolerance ในสุนัขที่มีอาการของระบบทางเดินอาหารเรื้อรังร่วมด้วย อย่างไรก็ตามผู้เขียนบทความ (Adam J. Rudinsky) ไม่พบว่ามีการศึกษาความชุกสัมพัทธ์ (relative prevalence) ระหว่างสองโรคข้างต้น หากสงสัยว่าสุนัขป่วยด้วย food allergy จำเป็นต้องซักประวัติการกินอาหารอย่างละเอียดเพื่อที่จะเลือกอาหารรักษาโรคได้ถูกกลุ่ม สิ่งที่ต้องคำนึงเมื่อเลือกอาหารคืออาหารนั้นมีแหล่งโปรตีนและ/หรือแหล่งโปรตีนที่ถูกไฮโดรไลซ์ที่สุนัขไม่เคยได้รับหรือไม่ การระบุสิ่งที่ทำให้เกิดการแพ้นั้นทำได้ยากหากไม่ทำการทดสอบอาหาร จากการทดลองพบว่าสารอาหาร macronutrient ทั้งหมดรวมถึงโปรตีนสามารถก่อให้เกิดอาการแพ้ได้ แต่ในสุนัขมักพบแอนติเจนที่ก่อให้เกิดการแพ้ในกลุ่มเนื้อ ผลิตภัณฑ์จากนม และข้าวสาลี [15][16]

การศึกษาสุนัขป่วยด้วย food allergy ที่มีอาการของระบบทางเดินอาหารเป็นหลักมีน้อยเพราะส่วนใหญ่เน้นไปที่การศึกษาอาการที่ผิวหนัง สัตว์ที่แพ้อาหารอาจมีอาการได้หลายรูปแบบแต่หากสัตวแพทย์พบอาการทั้งที่ผิวหนังและระบบทางเดินอาหารควรสงสัย food allergy เป็นอันดับแรก การวินิจฉัยที่เหมาะสมคือการทดสอบอาหารโดยสุนัขตอบสนองต่ออาหารรักษาโรคและกลับมามีอาการเมื่อให้กินอาหารที่มีองค์ประกอบที่ทำให้เกิดการแพ้อีกครั้ง [16] การทดสอบอาหารอาจใช้อาหารกลุ่มไฮโดรไลซ์หรืออาหารที่จำกัดวัตถุดิบเพราะทั้งสองกลุ่มมีประสิทธิภาพดีในการจัดการภาวะ food allergy ถึงแม้จะไม่มีการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพระหว่างอาหารทั้งสองกลุ่ม [2][17][18][19][20] หากมีความเป็นไปได้สูงที่สุนัขมีภาวะ food allergy ควรทำการทดสอบอาหารอย่างน้อย 8 สัปดาห์เหมือนกับสุนัขแพ้อาหารที่มีความผิดปกติที่ผิวหนัง ในสุนัขที่ป่วยด้วยภาวะ FRD สามารถทำกรทดสอบอาหารโดยใช้เวลาเพียง 2-4 สัปดาห์ [21][22]

ภาวะสูญเสียโปรตีนทางลำไส้ (protein-losing enteropathy) และ ท่อน้ำเหลืองพองขยาย (lymphangiectasia)

อาหารไขมันต่ำนิยมใช้ในสุนัขที่ป่วยด้วยภาวะสูญเสียโปรตีนทางลำไส้ (protein-losing enteropathy หรือ PLE) โดยอาศัยหลักการจากการศึกษาว่าไขมันในอาหารสามารถเพิ่มปริมาณน้ำเหลืองที่หมุนเวียน เมื่อปริมาณน้ำเหลืองเพิ่มขึ้นซึ่งสามารถพบได้ในโรคต่างๆรวมถึงท่อน้ำเหลืองพองขยาย (lymphangiectasia) สามารถทำให้อาการของ PLE แย่ลงรวมถึงทำให้การควมคุมอาการของโรคได้ยากขึ้น [5][6] PLE เป็นกลุ่มของโรคที่มีสาเหตุจาก IBD lymphangiectasia การติดเชื้อเช่น histoplasmosis และเนื้องอกทางเดินอาหารกลุ่ม lymphoma ทำให้การรักษาโดยอาหารจะแตกต่างกันไปในแต่ละสาเหตุ

ผลการตอบสนองของสัตว์ป่วยโรค PLE ต่ออาหารไขมันต่ำได้ถูกตีพิมพ์ในรายงานสัตว์ป่วย (case reports) รายงานอาการป่วย (case series) และผลงานการประชุมวิชาการ (proceedings) นอกจากนี้ยังมีผลการศึกษาของประสิทธิภาพอาหารไขมันต่ำในการรักษา PLE หลายชิ้นแต่การศึกษาเหล่านี้ขาดกลุ่มควบคุม รูปแบบการศึกษา และการรักษาที่ทำควบคู่กันส่งผลให้เกิดความสงสัยและข้อโต้แย้งตามมาในการใช้อาหารไขมันต่ำ อย่างไรก็ตามผลการศึกษาที่ได้กระตุ้นให้เกิดการศึกษาในหัวข้อนี้เพิ่มมากขึ้น สาเหตุของการเกิด PLE มีได้หลากหลายและการรักษาควรปรับเปลี่ยนตามการวินิจฉัยสุดท้ายที่ได้ ยกตัวอย่างเช่นสุนัขถูกวินิจฉัยว่าป่วยด้วย IBD และ PLE ควรเลือกใช้อาหารไฮโดรไลซ์หรืออาหารที่จำกัดวัตถุดิบเพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพร่างกายสุนัขจากในแง่มุมทางโภชนาการ

โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ (large bowel disease)

การรักษาลำไส้ใหญ่อักเสบในสุนัขสามารถเลือกใช้อาหารได้หลากหลายกลุ่ม มีการศึกษาขนาดใหญ่ 6 เรื่องเกี่ยวกับโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (chronic colitis) ในสุนัข [10][23][24][25][26][27] โดยการศึกษาเหล่านี้มีความคล้ายคลึงกับการศึกษาเรื่อง PLE ในกรณีที่ขาดกลุ่มควบคุม รูปแบบการศึกษา และการรักษาที่ทำควบคู่กัน การศึกษา 3 ใน 6เรื่องพบข้อมูลที่น่าสนใจดังนี้ การศึกษาเรื่องแรกผู้ทำการศึกษาทำการเปรียบเทียบอาหาร 3 ชนิด (อาหารไขมันต่ำ อาหารที่มีใยอาหารสูง และอาหาร hypoallergenic) ในสุนัขที่ป่วยด้วย colitis [25] สุนัขทุกตัวในการศึกษาได้รับยาลดการอักเสบร่วมกับการเปลี่ยนอาหาร ผลการตอบสนองต่อการรักษาแตกต่างกันไปในอาหารแต่ละชนิด พบการตอบสนองร้อยละ 85 ในสุนัขที่กินอาหาร hypoallergenic ร้อยละ 75 ในสุนัขที่กินอาหารที่มีใยอาหารสูง และร้อยละ 18 ในสุนัขที่กินอาหารไขมันต่ำ ส่วนการศึกษาอีก 2 เรื่องได้ผลที่มีความน่าเชื่อถือระหว่างอาหารที่มีปริมาณใยอาหารสูงเทียบกับอาหารรักษาโรคทางเดินอาหารทั่วไป (มีการย่อยได้สูง ไขมันต่ำและ/หรือจำกัดวัตถุดิบ) ในสุนัขที่ป่วยด้วย chronic colitis [26][27] โดยในการศึกษาหนึ่งไม่ประสบความสำเร็จในการใช้อาหารไขมันต่ำ โดยรวมพบการตอบสนองต่อการรักษาด้วยอาหารปรุงเอง [27] อาหารที่ย่อยง่าย อาหารจำกัดชนิดวัตถุดิบ อาหารไขมันต่ำ และอาหารที่มีใยอาหารสูง การนำผลการศึกษามาใช้ควรพิจารณาตามความเหมาะสมเพราะการศึกษาหลายชิ้นขาดกลุ่มควบคุมแต่พบว่าอาหารที่มีใยอาหารสูงและ/หรืออาหารที่มีวัตถุดิบที่สุนัขไม่เคยได้รับหรืออาหารที่จำกัดชนิดวัตถุดิบเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุดในการรักษา chronic colitis ทั้งนี้ยังต้องมีการศึกษาเปรียบเทียบต่อไป

A summary of the main studies examining nutritional management of chronic enteropathies.
ตาราง 1 สรุปการศึกษาที่ใช้อาหารในการรักษาโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง

โรคลำไส้อักเสบเรื้อรังในสุนัขโดยมากสามารถจัดการได้โดยการใช้อาหารซึ่งสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาการใช้ยาปฏิชีวนะและยากดภูมิคุ้มกันเป็นเวลานานเกินไป (ตาราง 1) สัตวแพทย์ควรให้ความสนใจในการเลือกกลุ่มอาหารขณะวางแผนการรักษาสุนัขป่วยด้วยลำไส้อักเสบเรื้อรัง ปัจจัยจากตัวสัตว์ป่วยและอาการทางคลินิกที่แสดงออกสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจเลือกอาหารสำหรับการรักษาเบื้องต้น สัตว์ป่วยแต่ละตัวควรได้รับประเมินอย่างละเอียดและเลือกอาหารให้เหมาะสมตามแนวทางการศึกษาในปัจจุบัน ระยะเวลาในการตอบสนองต่ออาหารรักษาโรคค่อนข้างแน่นอนและมีหลักฐานว่าอาจจำเป็นต้องทดลองอาหารมากกว่า 1 กลุ่มในกรณีที่สุนัขไม่ตอบสนองต่อการทดลองอาหารครั้งแรก การควบคุมอาการของลำไส้อักเสบเรื้อรังด้วยการเปลี่ยนอาหารและการเฝ้าติดตามอย่างสม่ำเสมอสามารถนำไปสู่ผลการรักษาที่ยั่งยืนได้

Adam J. Rudinsky

Adam J. Rudinsky

DVM, MS, Dipl. ACVIM

สหรัฐอเมริกา

Rudinsky สำเร็จการศึกษาระดับ DVM จาก OSU และได้ฝึกงานด้านการหมุนเวียนสัตว์ขนาดเล็กที่ Purdue University ก่อนที่จะกลับไปรับที่อยู่อาศัยรวมในสาขาอายุรศาสตร์และปริญญาโทที่รัฐโอไฮโอ ตอนนี้เขาอยู่ในคณะในฐานะพนักงานฝึกงานซึ่งเขาให้บริการด้วยความสนใจเฉพาะทางมุมมองทางคลินิกและการวิจัยที่เกี่ยวข้องทางคลินิกในระบบทางเดินอาหารตับอ่อนและตับ เขาได้รับรางวัลการสอนและรางวัลการบริการในโรงพยาบาลหลายรางวัล

แหล่งอ้างอิง
  1. Crane SW, Cowell CS, Stout NP, et al. Commercial Pet Foods. In: Hand MS, Thatcher CD, Remillard RL, et al. (eds). Small Animal Clinical Nutrition. 5th Edition. Topeka, Kansas: Mark Morris Institute, 2010;157-190.
  2. Roudebush PM, McKeever PJ. Evaluation of a commercial canned lamb and rice diet for the management of cutaneous adverse reactions to foods in cats. Vet Dermatol 1993;4:4.
  3. Raditic DM, Remillard RL, Tater KC. ELISA testing for common food antigens in four dry dog foods used in dietary elimination trials. J Anim Physiol Anim Nutr (Berl) 2011;95:90-97.
  4. Cave NJ. Hydrolyzed protein diets for dogs and cats. Vet Clin North Am Small Anim Pract 2006;36:1251-1268, vi.
  5. Rudinsky AJ, Howard JP, Bishop MA, et al. Dietary management of presumptive protein-losing enteropathy in Yorkshire terriers. J Small Anim Pract 2017;58:103-108.
  6. Okanishi H, Yoshioka R, Kagawa Y, et al. The clinical efficacy of dietary fat restriction in treatment of dogs with intestinal lymphangiectasia. J Vet Intern Med 2014;28:809-817.
  7. Binder HS, Sandle, GI. Electrolyte absorption and secretion in the mammalian colon In: Johnson L (ed). Physiology of the GI Tract 2nd ed. New York: Raven Press, 1987;1389-1418.
  8. de-Oliveira LD, Takakura FS, Kienzle E, et al. Fibre analysis and fibre digestibility in pet foods – a comparison of total dietary fibre, neutral and acid detergent fibre and crude fibre. J Anim Physiol Anim Nutr (Berl) 2012;96:895-906.
  9. Allenspach K, Culverwell C, Chan D. Long-term outcome in dogs with chronic enteropathies: 203 cases. Vet Rec 2016;178:368.
  10. Allenspach K, Wieland B, Grone A, et al. Chronic enteropathies in dogs: evaluation of risk factors for negative outcome. J Vet Intern Med 2007;21:700-708.
  11. Luckschander N, Allenspach K, Hall J, et al. Perinuclear antineutrophilic cytoplasmic antibody and response to treatment in diarrheic dogs with food responsive disease or inflammatory bowel disease. J Vet Intern Med 2006;20:221-227.
  12. Sauter SN, Benyacoub J, Allenspach K, et al. Effects of probiotic bacteria in dogs with food responsive diarrhoea treated with an elimination diet. J Anim Physiol Anim Nutr (Berl) 2006;90:269-277.
  13. Mandigers PJ, Biourge V, van den Ingh TS, et al. A randomized, open-label, positively-controlled field trial of a hydrolyzed protein diet in dogs with chronic small bowel enteropathy. J Vet Intern Med 2010;24:1350-1357.
  14. Walker D, Knuchel-Takano A, McCutchan A, et al. A comprehensive pathological survey of duodenal biopsies from dogs with diet-responsive chronic enteropathy. J Vet Intern Med 2013;27:862-874.
  15. Mueller RS, Olivry T, Prélaud P. Critically appraised topic on adverse food reactions of companion animals (2): common food allergen sources in dogs and cats. BMC Vet Res 2016 12:9.
  16. Jeffers JG, Meyer EK, Sosis EJ. Responses of dogs with food allergies to single-ingredient dietary provocation. J Am Vet Med Assoc 1996;209:608-611.
  17. Loeffler A, Soares-Magalhaes R, Bond R, et al. A retrospective analysis of case series using home-prepared and chicken hydrolysate diets in the diagnosis of adverse food reactions in 181 pruritic dogs. Vet Dermatol 2006;17:273-279.
  18. Jackson HA, Jackson MW, Coblentz L, et al. Evaluation of the clinical and allergen specific serum immunoglobulin E responses to oral challenge with cornstarch, corn, soy and a soy hydrolysate diet in dogs with spontaneous food allergy. Vet Dermatol 2003;14:181-187.
  19. Puigdemont A, Brazis P, Serra M, et al. Immunologic responses against hydrolyzed soy protein in dogs with experimentally induced soy hypersensitivity. Am J Vet Res 2006;67:484-488.
  20. Serra M, Brazis P, Fondati A, et al. Assessment of IgE binding to native and hydrolyzed soy protein in serum obtained from dogs with experimentally induced soy protein hypersensitivity. Am J Vet Res 2006;67:1895-1900.
  21. Olivry T, Mueller RS, Prélaud P. Critically appraised topic on adverse food reactions of companion animals (1): duration of elimination diets. BMC Vet Res 2015;11:225.
  22. Allenspach K, Wieland B, Grone A, et al. Chronic enteropathies in dogs: evaluation of risk factors for negative outcome. J Vet Intern Med 2007;21:700-708.
  23. Nelson RW, Stookey LJ, Kazacos E. Nutritional management of idiopathic chronic colitis in the dog. J Vet Intern Med 1988;2:133-137.
  24. Simpson JM, Maskell IE., Markwell, PJ. Use of a restricted antigen diet in the management of idiopathic canine colitis. J Small Anim Pract 1994;35:234.
  25. Simpson JW. Management of colonic disease in the dog. WALTHAM Focus 1995;5:17-22.
  26. Leib MS. Treatment of chronic idiopathic large-bowel diarrhea in dogs with a highly digestible diet and soluble fiber: a retrospective review of 37 cases. J Vet Intern Med 2000;14:27-32.
  27. Lecoindre P, Gaschen FP. Chronic idiopathic large bowel diarrhea in the dog. Vet Clin North Am Small Anim Pract 2011;41:447-456.