การรักษาผิวหนังอักเสบอะโทปีในสุนัข

เขียนโดย Annette van der Lee

 

สัตวแพทย์มีโอกาสพบสุนัขที่มาด้วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีได้บ่อยครั้งในการทำงาน บทความนี้จะเป็นการทบทวนแนวทางการรักษาที่มีและเน้นย้ำความสำคัญของการรักษาแบบผสมผสาน(multi-modal approach) (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)

Article

Reading time5 - 15 min
สุนัขที่ป่วยด้วยอะโทปีมีขนขึ้นเต็มตัวหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาไซโคลสปอรีนต่อเนื่องเป็นเวลา 1 ปี

ประเด็นสำคัญ

Group 15 1

โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปี(canine atopic dermatitis; CAD)หรืออะโทปีในสุนัขเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยและส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของสุนัขและเจ้าของ

Group 15 2

ปัจจัยต่างๆที่ส่งผลต่อความคันควรได้รับการจัดการพร้อมกันเพื่อให้การรักษาประสบความสำเร็จโดยเฉพาะเมื่อมีการปะทุของอาการโรคผิวหนัง

Group 15 3

ยากดภูมิคุ้มกันและ allergen-specific immunotherapy มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอะโทปีในสุนัขโดยสามารถใช้ร่วมกันได้

Group 15 4

การวางแผนการรักษาควรจัดทำขึ้นสำหรับสุนัขแต่ละตัวและปรับให้เหมาะสมตามฤดูกาล สุขภาพของสุนัข หรือเมื่อมีการปะทุของอาการโรคผิวหนัง

บทนำ

โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีหรืออะโทปีในสุนัข(canine atopic dermatitis; CAD) เป็นความผิดปกติของผิวหนังที่มีสาเหตุจากสารก่อภูมิแพ้(allergen)ในสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนมาก ตัวอย่างเช่นไรฝุ่น ละอองจากหญ้า ต้นไม้และวัชพืชเป็นต้น สาเหตุการเกิดโรคมาจากหลายปัจจัย เริ่มจากความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวชั้นนอก(epidermal barrier dysfunction)ร่วมกับการทำงานที่ผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันนำไปสู่การแสดงออกที่ผิวหนังในสุนัขที่มีประวัติพันธุกรรมของโรค CAD กรณีส่วนใหญ่เริ่มพบอาการที่สุนัขอายุน้อยแต่สร้างปัญหาผิวหนังอักเสบและอาการคันไปตลอดชีวิต

แนวทางการรักษา CAD มีหลายวิธีโดยแต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไปในแง่ของประสิทธิภาพและผลต่อสุขภาพสุนัข บทความนี้จะนำเสนอแนวทางโดยใช้หลักเหตุผลเพื่อหาจุดเริ่มต้นในการรักษา ความท้าทายไม่ได้อยู่ที่การรักษาให้ประสบความสำเร็จแต่ยังรวมถึงหลีกเลี่ยงการปะทุของอาการโรคผิวหนังด้วย จากที่กล่าวมาทำให้การรักษา CAD จำเป็นต้องใช้การรักษาผสมผสาน(รูป 1) สุนัขจะปลอดอาการเมื่อสามารถควบคุมอาการทางคลินิกและป้องกันการปะทุของอาการโรคผิวหนังได้ ทางเลือกในการรักษาจะขึ้นอยู่กับความจำเป็นของสุนัขแต่ละตัวและความรุนแรงของโรค

The multimodal treatment and management.
รูป 1 การรักษาและการจัดการแบบผสมผสานสำหรับสุนัขที่เป็นอะโทปี

[* Allergen-specific immunotherapy** Subcutaneous immunotherapy*** Sublingual immunotherapy ]

การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้(avoidance of allergens)

สารก่อภูมิแพ้ที่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดอะโทปีที่พบบ่อยที่สุดคือไกลโคโปรตีนของไรฝุ่นและละอองเกสรต่างๆทำให้การหลีกเลี่ยงทำได้ยากมาก ในการทดลองที่ปราศจากกลุ่มควบคุมโดยใช้ยาฆ่าไรกลุ่ม benzyl benzoate ฉีดพ่นในสิ่งแวดล้อมเพื่อลดปริมาณไรฝุ่นพบว่าสุนัขที่เป็นอะโทปีมีอาการที่ดีขึ้น 1

นอกจากนี้ยังมีสเปรย์สำหรับพ่นในสิ่งแวดล้อมที่ผลิตขึ้นมาขายสำหรับคนซึ่งมีส่วนประกอบของโพรไบโอติกส์ที่สามารถสร้างเอนไซม์ซึ่งมีคุณสมบัติในการจับกับโปรตีนในอุจจาระของไรฝุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างการลดสารก่อภูมิแพ้จากไรฝุ่นและอาการทางคลินิกที่ดีขึ้นของสุนัขที่เป็นอะโทปียังต้องการการศึกษาเพิ่มเติมที่มีกลุ่มควบคุมเพื่อยืนยันสมมติฐานนี้ ในทางเดียวกันการใช้ที่นอนที่มีคุณสมบัติป้องกันไรฝุ่น การดูดฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ และการซักเครื่องนอนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียสอาจมีส่วนช่วยลดการที่สุนัขมีโอกาสสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ในจากไรฝุ่นได้

กรณีหนึ่งที่พบได้ยากคือการที่สุนัขแสดงอาการแพ้ต่อเศษผิวหนังชั้นนอกของสัตว์เลี้ยงชนิดอื่นในบ้านเช่น นกแก้วหรือหนูตะเภา หากเป็นเช่นนั้นแนะนำให้แยกที่อยู่อาศัย

หากสุนัขเป็นอะโทปีที่มีสาเหตุโน้มนำจากอาหารจะมีสารก่อภูมิแพ้จากทั้งอาหารและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลให้มีอาการทางผิวหนัง 2 สารก่อภูมิแพ้ในอาหารจะมีบทบาทมากเมื่อมีอาการปะทุของอาการโรคผิวหนัง ดังนั้นการทดสอบอาหารจึงมีความสำคัญอย่างมากในสุนัขที่เป็นอะโทปี หากสามารถระบุได้ว่าสุนัขมีการแพ้อาหารจะทำให้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ในอาหารทำได้ง่าย

การเสริมเกราะป้องกันผิวหนัง (restoring the skin barrier)

สุนัขที่ป่วยด้วยโรคอะโทปีนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าเกิดความผิดปกติที่เกราะป้องกันผิวหนังชั้น epidermis ส่งผลให้เกิดการสูญเสียน้ำผ่านชั้น epidermis เพิ่มมากขึ้น (transepidermal water loss; TEWL) สุนัขบางสายพันธุ์อาจพบผิวหนังมีลักษณะแห้งและมีรังแคมาก(xerosis) การเสริมเกราะป้องกันผิวหนังด้วยการทาสารให้ความชุ่มชื้น(moisturizer) เช่น glycerol glycerin propylene glycol panthenol และ urea จะช่วยเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำของชั้น epidermis โดยจะมีประสิทธิภาพดีมากหากใช้หลังการอาบน้ำ แนวคิดนี้ได้มีการทดสอบและให้ผลดีในสุนัขที่มีความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวหนังชั้น epidermis แบบเรื้อรัง 3

ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของ phytosphingosine และ ophytrium ซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่พบได้ในรากของ Japanese mondo grass อาจช่วยให้ฟื้นฟูเกราะป้องกันผิวหนัง ลดอาการคัน และลดการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนังชั้น epidermis ได้ 4 

สุนัขที่เป็นอะโทปียังพบว่าเกิดความผิดปกติที่ intercellular lipid lamellae ในชั้น stratum corneum ของผิวหนัง การให้กรดไขมันจำเป็น(essential fatty acids; EFAs)โดยการกินไม่ว่าจะเป็นในรูปอาหารเสริมหรือเสริมลงในอาหารที่สุนัขกินมีการนำมาใช้และได้ผลการรักษาที่แตกต่างกันไป ในการศึกษาที่ดีชิ้นหนึ่งพบว่าสามารถลดขนาดยา prednisolone ชนิดกินได้อย่างมีนัยสำคัญในสุนัขที่ได้รับ EFAs เป็นเวลา 12 สัปดาห์ 5 อีกทางเลือกหนึ่งคือการใช้อาหารที่มีส่วนผสมที่ครบถ้วนในการเสริมเกราะป้องกันผิวหนัง EFAs ในรูปแบบยาภายนอกชนิดหยดหลังพบว่าให้ผลที่น่าพอใจเช่นเดียวกัน 6 แต่อาจมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงหากต้องใช้เป็นระยะเวลานาน ยาภายนอกชนิดอื่นได้แก่แชมพู สเปรย์ และโลชั่นที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันและเซราไมด์ได้มีการนำมาใช้ในสุนัขที่ป่วยด้วยอะโทปีแต่ยังมีความไม่สม่ำเสมอในแง่ของประสิทธิภาพ สัตวแพทย์พึงระลึกว่าการเสริมเกราะป้องกันให้กับผิวชั้นนอกไม่ว่าจะด้วยวิธีใดอาจช่วยลดการเข้าถึงผิวหนังของสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมได้ 

การคุมการติดเชื้อแทรกซ้อนที่ผิวหนัง(controlling secondary skin infections)

สุนัขส่วนมากที่ป่วยด้วยอะโทปีมีโอกาสกลับมามีอาการของโรคผิวหนังซ้ำเช่น superficial pyoderma papule pustule collarette squame และ seborrhea (รูป 2) การเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรียก่อโรค Staphylococci spp. (มักเป็น S. pseudintermedius) มีมากขึ้นเทียบกับผิวหนังที่สุขภาพดีซึ่งอาจเป็นผลจากการที่โปรตีนที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อโรคบริเวณผิวหนังทำงานได้แย่ลง เมื่อพบการปะทุของอาการโรคผิวหนังในกรณีอะโทปีจะพบว่าเกิดความไม่สมดุลของแบคทีเรียโดยมีปริมาณเชื้อ Staphylococci เพิ่มมากขึ้น รอยโรคที่ทุเลาหลังการใช้ยาปฏิชีวนะแสดงถึงการคืนสมดุลของแบคทีเรียบนผิวหนัง 7

 

ร้อยละ 40 ของสุนัขที่เป็นอะโทปีพบการกลับมาเป็นซ้ำของการติดเชื้อยีสต์ Malassezia pachydermatis ที่ผิวหนังซึ่งจะมีกลิ่นแรง ผิวมัน รังแค และ paronychia ร่วมกับเล็บกลายเป็นสีน้ำตาล(รูป 3) การแพ้แบบ type 1 hypersensitivity ต่อ Malassezia สามารถพบได้ทำให้เกิดอาการคันอย่างมาก 8 การติดเชื้อแบคทีเรียหรือยีสต์แทรกซ้อนจำเป็นต้องได้รับการควบคุม สามารถทำได้โดยการใช้ยาภายนอกที่ออกฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพซึ่งอาจอยู่ในรูปแบบแชมพู มูส สเปรย์ แผ่นเช็ดทำความสะอาดหรือเจล การฟอกด้วยแชมพูที่มีส่วนผสมของ chlorhexidine เข้มข้น 3% ให้ผลที่ดีในการจัดการเชื้อแบคทีเรียและยีสต์เช่นเดียวกับแชมพูที่มีส่วนผสมของ chlorhexidine 2% และ miconazole 9 การอาบน้ำด้วยแชมพูยาสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพียงพอต่อการรักษา แต่ถ้ารอยโรคมีความรุนแรงมากอาจต้องใช้ยาภายนอกถี่มากขึ้นในช่วงแรกของการรักษา ผู้เขียนบทความนิยมให้อาบน้ำด้วยแชมพูยาทุกวันในสัปดาห์แรก วันเว้นวันในสัปดาห์ถัดมาและลดลงเหลือ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ อีกวิธีหนึ่งที่ให้ผลดีพอกันคือการอาบน้ำด้วยแชมพูยาสัปดาห์ละครั้งร่วมกับการใช้ยาภายนอกชนิดอื่นเช่น มูส เจล หรือสเปรย์ที่บริเวณรอยโรคสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

การเลือกใช้ยาปฏิชีวนะชนิดกินควรใช้เมื่อพบว่ามีลักษณะของ deep pyoderma ได้แก่ มีการกระจายตัวของรอยโรคแบบ generalized มีลักษณะเป็นฝีฝักบัว(furunculosis) หรือเมื่อเจ้าของสุนัขไม่สามารถใช้ยาภายนอกได้ตามคำแนะนำ ตัวเลือกของการใช้ยาปฏิชีวนะอาจทำตามผลการเพาะเชื้อหาความไวต่อยาปฏิชีวนะ หรืออาจเลือกใช้ยาปฏิชีวนะตามหลักที่ปฏิบัติกันได้แก่ clindamycin 10 mg/kg q12h cephalosporine(cephalexin) 10-30 mg/kg q8-12h หรือ amoxicillin- clavulanic acid 12.5 mg/kg q12h สัตวแพทย์ควรให้สุนัขกินยาปฏิชีวนะต่อเนื่องจนกว่าอาการและผล cytology ที่บ่งบอกถึง pyoderma จะหายไป ควรหลีกเลี่ยงการกลับมาใช้ยาปฏิชีวนะชนิดเดิมซ้ำเพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดเชื้อดื้อยา การใช้ยาฆ่าเชื้อราชนิดกินเช่น ketoconazole 10 mg/ kg q24h หรือ 5 mg/kg q12h และ itraconazole 5 mg/kg q24h ควรสงวนไว้ใช้ในรายที่มีการติดเชื้อยีสต์รุนแรง เพราะยีสต์มีโอกาสเกิดการดื้อยาฆ่าเชื้อรากลุ่ม azole ได้แต่พบได้น้อย 10 นอกจากนี้สัตวแพทย์ยังต้องพึงระลึกถึงผลข้างเคียงจากการใช้ยาต่างๆโดยเฉพาะ ketoconazole

 

Atopic skin with classic lesions.
รูป 2 ผิวของสุนัขที่เป็นอะโทปีพบรอยโรค papule pustule และ collarette ที่เป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียชนิดทุติยภูมิ (secondary superficial pyoderma)Annette van der Lee
Paronychia in an atopic dog with brown staining of the nails.
รูป 3 paronychia ในสุนัขที่เป็นอะโทปีพบว่าเล็บกลายเป็นสีน้ำตาลจากเชื้อยีสต์ MalasseziaAnnette van der Lee
Interdigital pyogranuloma with secondary deep.
รูป 4 interdigital pyogranuloma ร่วมกับ secondary deep pyoderma ในสุนัขที่เป็นอะโทปีAnnette van der Lee

ความท้าทายในการรักษา CAD ไม่ได้อยู่ที่เพียงการรักษาให้หายจากอาการปัจจุบันแต่ยังต้องป้องกันการปะทุของอาการโรคผิวหนังต่างๆ เราจึงต้องใช้การรักษาแบบผสมผสานเพื่อจัดการกับ CAD

Annette van der Lee

การควบคุมการอักเสบของผิวหนังและอาการคัน(controlling skin inflammation and pruritus)

ยารักษาอาการอักเสบและลดอาการคันที่ได้ผลดีในสุนัขที่เป็นอะโทปีได้แก่สเตียรอยด์ cyclosporine oclacitinib และ lokivetmab ซึ่งจะกล่าวถึงแต่ละตัวในลำดับถัดไป การป้องกันเห็บหมัดอย่างสม่ำเสมอช่วยลดการคันได้อย่างมาก ไม่มีหลักฐานที่สรุปได้ว่ายาแอนตี้ฮิสตามีน type 1 สามารถออกฤทธิ์ควบคุมอาการคันชนิดเรื้อรังและเฉียบพลันที่มีสาเหตุจาก CAD [11] หากจำเป็นต้องเลือกใช้อาจใช้ cetirizine 0.5-1.0 mg/kg q24h หรือ hydroxyzine 2 mg/kg q12h [12]

 

ยากลุ่มสเตียรอยด์ (glucocorticosteroids)

ยากลุ่มสเตียรอยด์(glucocorticosteroids หรือ GC) ออกฤทธิ์ผ่านการยับยั้ง transcription factor ทำให้กดการแสดงออกของยีนที่ส่งผลต่อการทำงานของ cytokine cytokine receptor adhesion molecule pro-inflammatory enzyme และ chemotactic protein จากที่กล่าวมาทำให้ยากลุ่มนี้ยับยั้งการทำงานของเซลล์อักเสบและลดอาการคันได้อย่างรวดเร็วซึ่งสามารถนำมาใช้ในระยะเฉียบพลันและระยะเรื้อรังของ CAD อย่างไรก็ตามจากการที่ยากลุ่มนี้ส่งผลกระบวนการต่างๆของเซลล์จึงทำให้พบผลข้างเคียงได้ง่ายหากมีการใช้เป็นระยะเวลานาน ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยได้แก่ กินน้ำมาก ปัสาวะมาก กินอาหารมาก กล้ามเนื้อและผิวหนังฝ่อลีบ เพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา ไรขี้เรื้อนขุมขน และ iatrogenic hyperadrenocorticism(รูป5) ไม่แนะนำให้ใช้รูปแบบยากินเป็นระยะเวลานานแต่ควรใช้ยาสเตียรอยด์ที่ออกฤทธิ์สั้นในกรณีที่อาการทางคลินิกรุนแรง ยา prednisolone ชนิดกินขนาด 0.5-1 mg/kg q24h หรือ methylprednisolone 0.4-0.8 mg/kg q24h สามารถให้ได้เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 5-14 วัน ขึ้นกับการตอบสนองของสุนัข จากนั้นจึงลดขนาดยาลงเรื่อยๆจนให้ได้วันเว้นวันเมื่ออาการดีขึ้น

รูปแบบของ GC ที่แนะนำให้ใช้คือยาทาภายนอก สเปรย์ และโลชั่น สเปรย์ที่มีส่วนผสมของ triamcinolone acetonide และ hydrocortisone aceponate พบว่ามีประสิทธิภาพสูงในการควบคุมรอยโรคเฉพาะที่ [13] เริ่มจากการใช้ยาภายนอกทุกวันเป็นเวลาประมาณ 2 สัปดาห์หรือจนอาการทางคลินิกลดลงจากนั้นเหลือสัปดาห์ละ 2 ครั้ง hydrocortisone aceponate อาจเหนี่ยวนำให้เกิดการสลายของผิวหนังชั้น dermis ผ่านการยับยั้ง collagen 1 และ 3 pro-peptide แต่ในการทดลองหนึ่งไม่พบการฝ่อของผิวหนังที่สังเกตได้จากการใช้ยาภายนอกเป็นเวลานาน(สองครั้งต่อสัปดาห์) [14] ยาคนในรูปแบบของครีม betamethasone และ mometasone furoate พบว่าให้ผลดีเช่นเดียวกันทางสัตวแพทย์ เป้าหมายสูงสุดของการรักษายะยาวด้วย GC ที่เป็นยาภายนอกคือการลดการปะทุของอาการโรคผิวหนังและยืดระยะเวลาปลอดอาการให้นานขึ้นแทนที่จะเน้นรักษาอาการเมื่อสุนัขเป็นมากจนสังเกตได้ [14]

 

Oclacitinib
Oclacitinib ทำหน้าที่เป็น janus kinase(JAK) inhibitorโดย JAK จัดเป็น nonreceptor tyrosine kinase ที่สามารถถูกกระตุ้นให้ทำงานได้โดย cytokine receptor หลายชนิด พบว่ามี JAK ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั้งหมด 4 ชนิดได้แก่ JAK1 JAK2 JAK 3 และ tyrosine kinase 2 ทำหน้าที่ควบคุมการแสดงออกของยีนเกี่ยวกับกระบวนการอักเสบ oclacitinib ทำการจับอย่างจำเพาะกับ cytokine ที่อาศัย JAK1 (และ JAK2 บางส่วน) ทำให้ลดผลของการอักเสบและการแพ้ของ cytokine ลงได้ จัดว่าเป็นยาที่ส่งผลต่อกระบวนการอักเสบและการแพ้อย่างกว้างขวางใน CAD

จากการที่ oclacitinib ออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็วในการควบคุมอาการคันทำให้มีประโยชน์ในการควบคุมอาการคันที่ปะทุขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน การให้จะเริ่มที่วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 14 วัน จากนั้นลดเหลือวันละ 1 ครั้ง(ขนาด 0.4-0.6 mg/kg) การให้ยาวันละ 2 ครั้งจำเป็นอย่างมากในรายที่มีอาการของโรคผิวหนังอักเสบเรื้อรัง ตัวยามีความปลอดภัยในการใช้ระยะยาวเพื่อการรักษา CAD ในสัตว์ที่อายุ 12 เดือนขึ้นไป [15] ตามทฤษฏีแล้ว oclacitinib อาจมีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันเมื่อใช้ในขนาดที่สูงกว่าคำแนะนำ [16] ผลของยาในสุนัขที่มีความไวต่อยาชนิดนี้อาจนำไปสู่การติดเชื้อฉวยโอกาส viral papilloma หรือไรขี้เรื้อนขุมขน หากเกิดกรณีดังกล่าวควรหยุดใช้ยาทันที สุนัขที่ได้รับยา oclacitinib ไม่จำเป็นต้องรับการตรวจเลือด ค่าเคมีในเลือด หรือการเพาะเชื้อปัสสาวะเป็นต่อเนื่องหลังได้รับยา [17]
 
An atopic dog with iatrogenic Cushing’s syndrome due to prednisolone treatment.
รูป 5 สุนัขที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นอะโทปีและเกิดภาวะ iatrogenic Cushings syndrome ซึ่งเป็นผลจากการรักษาด้วยยา prednisolone พบการกระจายตัวเป็นวงกว้างของ calcinosis cutis บริเวณหลัง Annette van der Lee

ยา cyclosporine และ tacrolimus

Cyclosporine A อยู่ในกลุ่ม calcineurin inhibitor ที่ออกฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันอย่างจำเพาะเจาะจงโดยการจับกับ intracellular immunophilins ส่งผลให้เกิดการยับยั้ง cytokine interleukin-2(IL-2) นำไปสู่การลดการเพิ่มจำนวนของ T cell และการผลิตแอนติบอดี้ของ B cell ที่อาศัย T-helper cell นอกจากนี้ cyclosporine ยังมีกระบวนการออกฤทธิ์อย่างกว้างขวาง ขนาดที่แนะนำคือ 5 mg/kg q24h อย่างไรก็ตามการทำงานของยาจะเห็นผลช้า โดยอาจใช้เวลานาน 4-8 สัปดาห์ก่อนที่อาการคันและผิวหนังอักเสบจะลดลง ยาชนิดนี้จึงควรใช้เพื่อการรักษาในระยะประคองอาการ การใช้ยาชนิดอื่นที่ออกฤทธิ์ได้เร็วกว่าร่วมกับ cyclosporine ในช่วงแรกของการรักษาจะให้ผลที่ดีและมีความปลอดภัยสูง อาจใช้ยา prednisolone ขนาด 1 mg/kg q24h เป็นเวลา 1 สัปดาห์จากนั้นลดลงเป็นวันเว้นวันนาน 2 สัปดาห์ในช่วง 3 สัปดาห์แรกของการใช้ยา cyclosporine 18

ในทางเดียวกันอาจใช้ oclacitinib ขนาด 0.4-0.6 mg/kg q12h เป็นเวลา 2 สัปดาห์จากนั้นลดลงเหลือวันละครั้งเป็นเวลา 1 สัปดาห์ 17 หลังจากที่สุนัขที่เป็นอะโทปีมีอาการดีขึ้นจึงค่อยๆลดขนาดของ cyclosporine ลง(ลดลง 1 mg/kg ทุก 2 สัปดาห์) หรือให้วันเว้นวันจนกว่าจะได้ขนาดที่ต่ำที่สุดที่ยังให้ผลการรักษาที่ดีได้ ผลข้างเคียงของ cyclosporine พบได้ในร้อยละ 30 ของสุนัขและสามารถหายได้เองได้แก่การอาเจียนและถ่ายเหลว พบมากในช่วงสัปดาห์แรกของการใช้ยาโดยเฉพาะในสุนัขที่มีระบบทางเดินอาหารที่อ่อนไหว ผู้เขียนบทความนิยมให้ในขนาดที่ต่ำก่อนในช่วงแรกเช่น 1.5 mg/kg q24h เป็นเวลา 3 วันจากนั้นจึงเพิ่มเป็น 3 mg/kg q24h ต่ออีก 3 วัน การให้ยาพร้อมกับอาหารอาจช่วยลดผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหารได้ ผลข้างเคียงอื่นที่พบได้น้อยกว่าซึ่งอาจขึ้นกับขนาดของยาที่ใช้ได้แก่ gingival hyperplasia ขนขึ้นมากเกินไป(รูป 6) การติดเชื้อราชนิดฉกฉวยโอกาส hyperplastic verrucous lesion และ psoriasiform-lichenoid-like dermatitis อย่างไรก็ตามผลข้างเคียงเหล่านี้มักหายได้เองหลังหยุดใช้ยา

Tacrolimus เป็นยาอีกชนิดในกลุ่ม calcineurin inhibitor ที่สามารถลดความรุนแรงของรอยโรคที่ผิวหนังได้หลังทาไปหลายสัปดาห์ 19 ถึงแม้ว่า tacrolimus อาจก่อความระคายเคืองต่อผิวหนังได้ในช่วงแรกของการทายา แต่สุนัขโดยมากทนต่อการทายาที่มีความเข้มข้นร้อยละ 0.1 วันละ 2 ครั้งได้ดี

An atopic dog with excessive hair growth; the dog had received maintenance therapy with cyclosporine for a year.
รูป 6a สุนัขที่เป็นอะโทปีและพบขนที่เจริญมากเกินไป สุนัขตัวนี้ได้รับการรักษาระยะประคองอาการด้วย cyclosporine มาเป็นเวลา 1 ปี Annette van der Lee
The same dog as in (a) six months after switching to maintenance.
รูป 6b สุนัขตัวเดียวกันกับด้านบนหลังจากเปลี่ยนมาใช้ยา oclacitinib เพื่อประคองอาการเป็นเวลา 6 เดือน Annette van der Lee
Lokivetmab

Lokivetmab มีคุณสมบัติเป็น anti-canine interleukin-31 monoclonal antibody ซึ่งมีการทำงานที่แคบและเป็นยารักษาอะโทปีที่ออกฤทธิ์อย่างจำเพาะเจาะจงมากที่สุดและมีผลข้างเคียงน้อยที่สุด ตัวยาทำหน้าที่ยับยั้ง canine IL-31 ซึ่งเป็น cytokine ที่เกี่ยวข้องกับการคัน ความแตกต่างในการทำงานระหว่าง lokivetmab และ oclacitinib อยู่ที่ lokivetmab จะจับกับ IL-31 ก่อนที่จะมีโอกาสจับกับตัวรับทำให้หยุดกระบวนการก่อให้เกิดอาการคันที่ระดับโมเลกุล การให้ยาทำโดยการฉีด lokivetmab เข้าใต้ผิวหนังเดือนละครั้งขนาด 1-2 mg/kg (ขึ้นกับการขึ้นทะเบียนยาในแต่ละประเทศ) สุนัขบางตัวตอบสนองต่อยาในขนาดสูงได้ดีกว่า อาการของโรคจะดีขึ้นใน 4-8 สัปดาห์ ตัวยามีครึ่งชีวิตที่นานมากและมีความปลอดภัยเมื่อใช้ร่วมกับยาอื่นที่ใช้รักษา CAD ประสิทธิภาพของยาในการลดอาการคันและความรุนแรงของรอยโรค(ใช้ pruritus visual analog score; PVAS และ canine atopic dermatitis extent and severity index; CADESI) หลัง 28 วันพบว่าไม่ด้อยกว่าการใช้ยา cyclosporine lokivetmab เห็นผลค่อนข้างรวดเร็ว(ลด PVAS มากกว่าร้อยละ 50 ในสุนัขที่เป็นอะโทปีร้อยละ 77) แต่ประสิทธิภาพโดยรวมหลังการรักษา 9 เดือนพบว่าเหลือร้อยละ 59 20

 

 

Annette van der Lee

Annette van der Lee

DVM, PhD, Dip. ECVD

ราชอาณาจักรเนเธอร์แลนด์

หลังจากสำเร็จการศึกษาในปี 2004  van der Lee ได้ฝึกในคลินิกหมุนวนในฐานะสัตวแพทย์ฝึกหัดในคลินิกผิวหนังที่ Utrecht University เธอได้รับใบอนุปริญญาบัตร ECVD ในปี 2009 และได้ทำงานในศูนย์ส่งต่อในเนเธอร์แลนด์นับจากนั้น แต่ในขณะเดียวกันเธอได้ร่วมทำงานวิจัยกับคลินิกสัตวแพทย์ผิวหนัง และสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกจากวิทยานิพนธ์เรื่อง T cells and immunomodulation in canine atopic dermatitis ในปี 2014 เธอได้เข้าร่วม IVC Evidensia group ในปี 2017 ที่ซึ่งเธอดำรงตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยโรคผิวหนังในเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน

แหล่งอ้างอิง
  1. Swinnen C, Vroom M. The clinical effect of environmental control of house dust mites in 60 house dust mite-sensitive dogs. Vet Dermatol 2004;15(1):31-36.
  2. Picco F, Zini E, Nett C, et al. A prospective study on canine atopic dermatitis and food-induced allergic dermatitis in Switzerland. Vet Dermatol 2008;19(3):150-155.
  3. Panzuti P, Vidmont E, Fantini O, et al. A moisturizer formulated with glycerol and propylene glycol accelerates the recovery of skin barrier function after experimental disruption in dogs. Vet Dermatol 2020;31:344-e89.
  4. Ollivier E, Zemirline C, Marchand L, et al. Effect of the ingredient A97614A1 on the adhesion and biofilm formation of Staphylococcus pseudintermedius in a model of reconstructed canine epidermis. In; Proceedings, 62nd BSAVA Congress, Birmingham, 2019.
  5. Saevik BK, Bergvall K, Holm BR, et al. A randomized, controlled study to evaluate the steroid sparing effect of essential fatty acid supplementation in the treatment of canine atopic dermatitis. Vet Dermatol 2004;15:137-145.
  6. Popa I, Remoue N, Osta B, et al. The lipid alterations in the stratum corneum of dogs with atopic dermatitis are alleviated by topical application of a sphingolipid-containing emulsion. Clin Exp Dermatol 2012;37(6):665-671.
  7. Bradley CW, Morris DO, Rankin SC, et al. Longitudinal evaluation of the skin microbiome and association with microenvironment and treatment in canine atopic dermatitis. J Invest Dermatol 2016;136(6):1087-1089.
  8. Morris DO, DeBoer DJ. Evaluation of serum obtained from atopic dogs with dermatitis attributable to Malassezia pachydermatis for passive transfer of immediate hypersensitivity to that organism. Am J Vet Res 2003;64(3):262-266.
  9. Maynard L, Rme CA, Viaud S. Comparison of two shampoos for the treatment of canine Malassezia dermatitis: a randomised controlled trial. J Small Anim Pract 2011;52(11):566-572.
  10. Kano R, Yokoi S, Kariya N, et al. Multi-azole-resistant strain of Malassezia pachydermatis isolated from a canine Malassezia dermatitis. Med Mycol 2019; 57(3):346-350.
  11. Olivry T, DeBoer DJ, Favrot C, et al. Treatment of canine atopic dermatitis: 2010 clinical practice guidelines from the International Task Force on Canine Atopic Dermatitis. Vet Dermatol 2010;21:233-248.
  12. Olivry T, DeBoer DJ, Favrot C, et al. Treatment of canine atopic dermatitis: 2015 updated guidelines from the International Committee on Allergic Diseases of Animals (ICADA). BMC Vet Res 2015;11:210.
  13. Nuttall T, Mueller R, Bensignor E, et al. Efficacy of a 0.0584% hydrocortisone aceponate spray in the management of canine atopic dermatitis: a randomised, double blind, placebo-controlled trial. Vet Dermatol 2009;20:191-198.
  14. Loureno AM, Schmidt V, So Braz B, et al. Efficacy of proactive long-term maintenance therapy of canine atopic dermatitis with 0.0584% hydrocortisone aceponate spray: a double-blind placebo-controlled pilot study. Vet Dermatol 2016; 27:88-92.
  15. Cosgrove SB, Cleaver DM, King VL. Long-term compassionate use of oclacitinib in dogs with atopic and allergic skin disease: safety, efficacy and quality of life. Vet Dermatol 2015;26:171-e35.
  16. Banovic F, Gordon H, Tarigo J, et al. Modulatory effects of oclacitinib on in vitro canine T-cell proliferation and cytokine production. Vet Dermatol 2019;30(1):17-e6.
  17. Panteri A, Strehlau G, Helbig R, et al. Repeated oral dose tolerance in dogs treated concomitantly with ciclosporin and oclacitinib for three weeks. Vet Dermatol 2016; 27:22-e7.
  18. Dip R, Carmichael J, Letellier I, et al. Concurrent short-term use of prednisolone with cyclosporine A accelerates pruritus reduction and improvement in clinical scoring in dogs with atopic dermatitis. BMC Vet Res 2013;9:173.
  19. Bensignor E, Olivry T. Treatment of localized lesions of canine atopic dermatitis with tacrolimus ointment: a blinded randomized controlled trial. Vet Dermatol 2005;16: 52-60.
  20. Moyaert H, Van Brussel L, Borowski S, et al. A blinded, randomized clinical trial evaluating the efficacy and safety of lokivetmab compared to ciclosporin in client-owned dogs with atopic dermatitis. Vet Dermatol 2017;28(6):593-e145.
  21. Keppel K, Campbell K, Zuckermann F, et al. Quantitation of canine regulatory T cell populations, serum interleukin-10 and allergen-specific IgE concentrations in healthy control dogs and canine atopic dermatitis patients receiving allergen-specific immunotherapy. Vet Immunol Immunopathol 2008;123:337-344.
  22. Loewenstein C, Mueller RS. A review of allergen-specific immunotherapy in human and veterinary medicine. Vet Dermatol 2009;20(2):84-98.
  23. Hobi S, Mueller RS. Efficacy and safety of rush immunotherapy with alum-precipitated allergens in canine atopic dermatitis. Tierarztl Prax Ausg K Kleintiere Heimtiere 2014;42(3):167-173.
  24. DeBoer DJ, Verbrugge M, Morris M. Clinical and immunological responses of dust mite sensitive, atopic dogs to treatment with sublingual immunotherapy (SLIT). Vet Dermatol 2016;27(2):82-7e23.
  25. Timm K, Mueller RS, Nett-Mettler CS. Long-term effects of intralymphatic immunotherapy (ILIT) on canine atopic dermatitis. Vet Dermatol 2018;29(2):123-e49.