ความท้าทายในการวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีในสุนัข
สามารถอ่านได้ใน Ana Rostaher
สัตวแพทย์ส่วนมากมักประสบปัญหาในการวินิจฉัยเมื่อพบกับสุนัขที่คาดว่าเป็นโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีหรือเรียกอย่างสั้นว่าอะโทปี ในบทความนี้สัตวแพทย์หญิง Ana Rostaher จะมาทบทวนแนวทางต่างๆในการวินิจฉัยสำหรับโรคนี้ (แปลโดย น.สพ. พีระ มานิตยกุล)
Article
ประเด็นสำคัญ
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีในปัจจุบันมักสร้างปัญหาแก่สัตวแพทย์เพราะไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพ(biomarker)ที่แยกโรคนี้ออกจจากโรคผิวหนังอื่นได้
เมื่อสัตวแพทย์พบสุนัขป่วยที่สงสัยว่าเป็นอะโทปีควรพิจารณาข้อมูลจากหลายแง่มุมไม่ว่าจะเป็นประวัติอาการป่วย ลักษณะรอยโรคทางคลินิกที่พบ และการวินิจฉัยแยกแยะตัดโรคอื่นออก
การทดสอบ intradermal testing หรือ IDT เป็นวิธีการที่สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคผิวหนังนิยมใช้เพื่อช่วยในการวินิจฉัยอะโทปีในสุนัขและสามารถระบุสารก่อภูมิแพ้ที่เป็นสาเหตุได้
การทดสอบ allergen-specific IgE Serology(ASIS) มีข้อได้เปรียบมากกว่า IDT สามารถใช้ทดแทนกันได้ในการวินิจฉัยอะโทปี อย่างไรก็ตามมีข้อเสียเช่นโอกาสการเกิดผลบวกลวงอยู่
บทนำ
โรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปี(canine atopic dermatitis; CAD)หรือะโทปีเป็นโรคผิวหนังอักเสบที่พบได้บ่อย พบได้ในประชากรสุนัขมากถึงร้อยละ 15 [1] พยาธิกำเนิดของโรคมีหลายปัจจัยโดยความผิดปกติของเกราะป้องกันผิวชั้นนอกและการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติถือเป็นสาเหตุหลักของอาการซึ่งอาจถูกกระตุ้นโดยปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมและพันธุกรรมอีกทอดหนึ่ง กระบวนการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันทั้งแบบที่ถูกกระตุ้นด้วย IgE และไม่ใช้ IgE เป็นจุดสำคัญของพยาธิกำเนิดโดยมีสารก่อภูมิแพ้เป็นตัวกระตุ้นหลัก [2] ค่าทางห้องปฏิบัติการที่เกี่ยวข้องกับ CAD มากที่สุดคือ allergen-specific serum IgE level แต่ไม่ได้ช่วยในการวินิจฉัย CAD ซึ่งตรงข้ามกับในคน ในสุนัขมีรายงานว่าพบระดับของ IgE สูงกว่าในคนมากซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่ติดเชื้อปรสิตบ่อยกว่า [3]ปัจจัยเสี่ยงหลักของอะโทปีในสุนัขมี 2 ประการได้แก่พันธุ์(ร้อยละ 50 ของสุนัขพันธุ์ west highland white terrier อาจเป็นโรคนี้) และประวัติการป่วยเป็น CAD ในสายเลือด [4] อย่างไรก็ตามจากการที่ปัจจัยทางพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมส่งผลต่อโรคนี้ทำให้การแสดงออกของโรคมีความหลากหลายมาก ไม่เพียงแค่ต่างกันในสุนัขแต่ละสายพันธุ์แต่ยังต่างกันไปในสุนัขแต่ละตัวในพันธุ์เดียวกัน การที่อะโทปีเป็นโรคที่มีความซับซ้อนและมีโรคผิวหนังอื่นที่มีความคล้ายคลึงกันทำให้การวินิจฉัยเพื่อยืนยันโรคถือเป็นความท้าทายแบบหนึ่ง
ข้อพิจารณาในการวินิจฉัย
เนื่องจากในปัจจุบันไม่มีตัวชี้วัดทางชีวภาพหรือ biomarker ที่ให้ความเชื่อมั่นสูงพอที่จะแยก CAD ออกจากโรคผิวหนังชนิดอื่นได้ การวินิจฉัยยืนยัน CAD จึงใช้การตรวจทางคลินิกเป็นหลัก สัตวแพทย์ต้องสามารถแปลผลและพิจารณาข้อมูลจากแง่มุมต่างๆซึ่งรวมถึงประวัติสัตว์ป่วย อาการทางคลินิกที่สำคัญ และการวินิจฉัยแยกโรคผิวหนังอื่นออกไป รูปที่ 1 แสดงถึงกระบวนการวินิจฉัย CAD ขั้นแรกคือการแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้าย CAD ออกไปก่อน เพราะอาการคันที่พบได้บ่อยนั้นไม่จำกัดว่าต้องเกิดจาก CAD เพียงอย่างเดียว สัตวแพทย์ควรคำนึงถึงการวินิจฉัยแยกแยะโรคอื่นได้แก่ การติดเชื้อปรสิตภายนอก การติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อยีสต์แบบทุติยภูมิที่มีสาเหตุจากความผิดปกติที่ไม่ก่อให้เกิดอาการคันเช่นโรคต่อมไร้ท่อและ sebaceous adenitis รวมถึงมะเร็งที่พบได้ไม่บ่อย(cutaneous lymphoma) ผ่านการซักประวัติและการตรวจเพิ่มเติม (ตารางที่ 1) ลักษณะที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของ CAD ที่อาจสังเกตได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มคืออาการคันที่อาจเกิดโดยไม่ปรากฏรอยโรคหรือมีรอยโรคชนิดปฐมภูมิเช่นผิวแดง(erythema)หรือตุ่ม(papule) เมื่อโรคมีการดำเนินลุกลามมากขึ้นจะพบการติดเชื้อชนิดทุติยภูมิ ตุ่มหนอง(pustule) ขนร่วง excoriation lichenification สะเก็ด และรังแค บริเวณที่พบรอยโรคได้บ่อยในสุนัขที่เป็นอะโทปีได้แก่ใบหน้า ด้านในของใบหู รักแร้ ท้อง ขาหนีบและ/หรือรอบก้นรวมไปถึงปลายเท้า(รูป 2) นอกจากนี้ตำแหน่งรอยโรคที่พบอาจแตกต่างกันไปในแต่ละสายพันธุ์ [5]
| การใช้หวีสางหมัด | หมัด |
| Skin cytology |
Malassezia dermatitis
Bacterial dermatitis
|
|
การขูดตรวจผิวหนัง/
ดึงเส้นขนมาตรวจ
|
Scabies
ปรสิตภายนอกอื่นๆเช่น Demodex spp. Cheyletiella spp. Neotrombicula autumnalis
Dermatophytosis
|
| การเพาะเชื้อรา | Dermatophytosis |
| ตัดชิ้นเนื้อผิวหนังไปตรวจ |
Sebaceous adenitis
Cutaneous lymphoma
|
หลังจากที่ทำกการตัดสาเหตุความเป็นไปได้อื่นออกแล้ว สัตวแพทย์จึงนำเกณฑ์มาตรฐานในการวินิจฉัย CAD ที่เรียกว่า Favrot’s criteria มาใช้ในการแปลผลอาการคันของสุนัข(ตารางที่ 2) Favrot’s criteria ไม่ควรนำมาใช้ก่อนที่จะทำการตัดสาเหตุอื่นออกเพราะถึงแม้ว่าร้อยละ 80 ของสุนัขที่เข้าข่ายเกณฑ์ขั้นต่ำ 5 ข้อจะเป็นอะโทปีแต่อีกร้อยละ 20 มีสาเหตุจากโรคอื่น ในทางกลับกันสุนัขที่เป็นอะโทปีร้อยละ 20 อาจไม่แสดงอาการที่อยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำถึง 5 ข้อ
| Favrot’s criteria ตัวชี้วัดหลัก 8 ประการสำหรับ CAD [5] |
|---|
| ประวัติสัตว์ป่วย |
|
| การตรวจร่างกาย |
|
| เกณฑ์อาการเพิ่มเติมที่จำเพาะต่อ CAD |
|
ตำแหน่งของร่างกายที่อาจพบรอยโรค
การติดเชื้อที่ผิวหนังหรือช่องหูชนิดกลับมาเป็นซ้ำ
|
การทดสอบเพื่อหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม
เมื่อสัตวแพทย์ทำการวินิจฉัยยืนยันได้แล้วว่าสุนัขป่วยด้วยโรคอะโทปี ประการถัดมาคือการตรวจเพิ่มเติมเพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้สุนัขแสดงอาการทางคลินิก วิธีการนี้จะช่วยในการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสารก่อภูมิแพ้ในอาหารและไรฝุ่น นอกจากนี้ยังช่วยในการเลือกสารก่อภูมิแพ้เพื่อการรักษาด้วยวิธี antigen-specific immunotherapy โดยทั่วไปแล้วหากสุนัขแสดงอาการของ CAD ตามฤดูกาลส สัตวแพทย์ควรทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมโดยทันที แต่ในกรณีของสุนัขที่แสดงอาการของ CAD ที่ไม่ขึ้นกับฤดูกาล และ/หรือแสดงอาการของโรคระบบทางเดินอาหาร ควรทำการวินิจฉัยตัดความเป็นไปได้ของโรคผิวหนังอักเสบที่มีสาเหตุจากอาหารก่อนที่จะทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม วิธีที่ผู้เขียนบทความนิยมใช้คือการให้สุนัขกินอาหารสำเร็จรูปที่ทำจากไฮโดรไลซ์โปรตีนเพื่อการทดสอบอาหาร หากอาการทางคลินิกของ CAD ไม่ดีขึ้นจึงทำการตรวจหาสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมโดยอาจทำการทดสอบที่ผิวหนังโดยตรง(intradermal test; IDT) หรือการทดสอบทางห้องปฏิบัติการเพื่อดู allergen-specific IgE(ASIS) สาเหตุที่ทำให้สัตวแพทย์ควรทำการทดสอบการแพ้นอกเหนือจากการที่สุนัขไม่ตอบสนองต่อการทดสอบอาหารคือการที่สุนัขมีอาการของโรคที่รุนแรงโดยมีอาการมากกว่า 3 เดือนในแต่ละปีหรือเมื่อการรักษาตามอาการไม่ประสบผลสำเร็จซึ่งอาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาหรือการขาดความร่วมมือจากเจ้าของสุนัข [6]
สิ่งสำคัญที่ต้องเน้นย้ำคือ IDT และ ASIS ไม่สามารถใช้เป็นการวินิจฉัยยืนยัน CAD แต่ใช้เพื่อการสนับสนุนข้อวินิจฉัยที่ได้และเพื่อระบุสารก่อภูมิแพ้ สุนัขที่เป็น CAD ส่วนมากจะพบว่ามีระดับของ allergen-specific IgE ต่อสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมสูงขึ้น แต่ในบางกรณีพบว่าระดับ IgE ไม่มีการเปลี่ยนแปลง(atopic-like dermatitis)
การทดสอบทั้งสองวิธีนั้นต่างมีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดที่ต่างกันโดยที่ไม่มีการทดสอบใดเหนือกว่า จากอัตราความสำเร็จของการรักษาด้วยวิธี allergen-specific immunotherapy(ASIT)พบว่าผลของทั้งสองวิธีนั้นดีพอกัน [7] จึงอาจกล่าวได้ว่าทั้งสองวิธีเสริมซึ่งกันและกัน ผู้เขียนบทความนิยมทำการทดสอบที่ผิวหนังและในห้องปฏิบัติการ(ASIS)หากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย หรือเว้นแต่ว่าการทดสอบที่ผิวหนังมีความเสี่ยง/สุนัขไม่ให้ความร่วมมืออาจเลือกทำ ASIS มาเป็นอันดับแรกก่อน หากผลการทดสอบทั้งสองวิธีนั้นไม่สามารถสรุปผลได้ให้ใช้ผลจากทั้งสองวิธีในการทำ ASIT หรืออ้างอิงจากผลของ ASIS เป็นหลักในการทำ ASIT ทั้งนี้การทดสอบทั้งสองวิธีต้องอาศัยการเลือกสารก่อภูมิแพ้ที่มีความเป็นไปได้สูงที่สุดซึ่งต้องอาศัยการซักประวัติและวิจารณญานของสัตวแพทย์
ปัจจุบันการทดสอบ skin prick test เริ่มกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งแต่ยังไม่ได้รับการยอมรับให้ใช้ในทางสัตวแพทย์ นอกจากนี้ยังมีชุดทดสอบโดยใช้น้ำลายจำหน่ายแต่ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ยังไม่สามารถแนะนำให้ใช้เป็นเครื่องมือในการวินิจฉัยได้
การทดสอบ intradermal testing(IDT)
IDT เป็นการวัดปริมาณการตอบสนองของ mast cell ที่บริเวณผิวหนังทางอ้อมโดยขึ้นกับการมีอยู่ของ allergen-specific IgE บริเวณผิวเซลล์ วิธีนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักตจวิทยา สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการที่ mast cell สามารถจับกับ allergen-specific molecule ได้นานมากกว่าหนึ่งปี [8] ข้อมูลเกี่ยวกับความไว(sensitivity)และความจำเพาะ(specificity)ของ IDT มีไม่มากแต่มีรายงานกล่าวว่าน่าจะอยู่ที่ร้อยละ 30-90 และมากกว่าร้อยละ 50-95 ตามลำดับ [6] [9] อย่างไรก็ตามการประเมินอย่างแม่นยำทำได้ยากเพราะมีปัจจัยภายในเช่นองค์ประกอบด้านภูมิคุ้มกันของสุนัขป่วยและปัจจัยภายนอกเช่นคุณภาพของสารก่อภูมิแพ้ ทักษะในการทำ IDT ของสัตวแพทย์ ฤดูกาล และการใช้ยา
การเลือกสารก่อภูมิแพ้
การเลือกสารก่อภูมิแพ้เพื่อทำการทดสอบขึ้นอยู่กับแหล่งที่อยู่ทางภูมิศาสตร์ของสุนัข ร่วมกับแหล่งข้อมูลอื่นจากสถานพยาบาลสัตว์เฉพาะทาง คลินิกโรคภูมิแพ้ในคน ห้องปฏิบัติการด้านภูมิแพ้ หรือหน่วยงานสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกัน อย่างไรก็ตามควรมีการทบทวนตัวเลือกที่ใช้เป็นระยะโดยการลดหรือเพิ่มรายชื่อสารก่อภูมิแพ้ตามความเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่นในรายชื่อสารก่อภูมิแพ้เพื่อการทำ IDT ที่ผู้เขียนบทความเลือกมาในครั้งแรก ประกอบด้วยสารก่อภูมิแพ้ 43 ชนิด จากนั้นทำการตัดลดลงเหลือสารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อมเพียง 13 ชนิดที่พบได้บ่อย(กล่องข้อความที่ 1) ทั้งยังสอดคล้องกับสารก่อภูมิแพ้ที่ใช้ในคลินิกโรคภูมิแพ้ในคน การลดสารก่อภูมิแพ้ไม่ทำให้ประสิทธิภาพของ ASIT ลดลงในช่วงเวลา 7 ปี
หญ้า : Phleum pratense Dactylis glomerata และ Secale cereale
ต้นไม้ : Fraxinus spp. และ Betula spp.
วัชพืช : Rumex crispus Chenopodium album Plantago lanceolata Ambrosia spp. และ Artemisia vulgaris
|
ขั้นตอนในการทำ IDT สามารถใช้สารก่อภูมิแพ้ในรูปแบบ lyophilized หรือ สารละลายที่ทำการเจือจางแล้วสำหรับการทำภูมิคุ้มกันบำบัด(immunotherapy)ที่มีอายุการใช้งาน 6- 12 เดือน และนำมาเจือจางเพิ่มอีกดังในตารางที่ 3 สารก่อภูมิแพ้ที่เตรียมไว้แล้วสามารถเก็บได้นาน 2 สัปดาห์ที่อุณหภูมิ 4 องศาเซลเซียสในกระบอกฉีดยาพลาสติกหรือ ที่ 8 สัปดาห์ในหลอดแก้ว หากนานกว่าสารสกัดของสารก่อภูมิแพ้นั้นจะเกิดการเสื่อมตามเวลาที่ผ่านไป [9] การเจือจาง และอุณหภูมิที่สูง ควรหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ผสมกับ glycerin ซึ่งนิยมใช้ในการทำ skin prick test ในคนเพราะอาจก่อการระคายเคืองจากวัตถุกันเสียได้
| สารก่อภูมิแพ้ | ความเข้มข้น/การเจือจางที่แนะนำ |
| ละอองจากพืช | 1000 to 8000 PNU**/mL |
| เชื้อรา | 1000 to 8000 PNU/mL |
| ไรฝุ่น: |
|
|
D. pteronyssinus
|
100–200 PNU/mL
|
|
D. farinae
Tyrophagus putrescentiae
Lepidoglyphus destructor
|
75 PNU/mL
|
|
Acarus siro
Blomia tropicalis
|
50 PNU/mL
|
| สารสกัดจากผิวชั้นนอก(epidermal extracts) |
อย่างน้อย 1,250 PNU/mL
300 PNU/mL สำหรับ human dander
|
| สารสกัดจากหมัดทั้งตัว |
1:500 w/v |
วิธีการทดสอบ
คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เหมาะสมในการทำ IDT สำหรับสุนัขที่มีอาการตามฤดูกาลแนะนำให้ทำหลังจากหมดช่วงอาการรุนแรงที่สุดหรือภายใน 2 เดือนหลังจากที่สุนัขแสดงอาการรุนแรงที่สุด [10] เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะไม่ตอบสนองต่อภูมิคุ้มกัน(anergy)และช่วงที่มีระดับ IgE ต่ำเกินไปนอกฤดูกาล แต่พบว่าสุนัขบางตัวมีการตอบสนองต่อการทำ IDT แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่อาการรุนแรงที่สุด สุนัขที่แสดงอาการโดยไม่ขึ้นกับฤดูกาลสามารถทำการทดสอบช่วงเวลาใดก็ได้
การทำ IDT ไม่จำเป็นต้องวางยาซึมสุนัข สามารถให้สุนัขยืนหรือนอนตะแคง(lateral recumbency) โดยผู้เขียนบทความชอบให้สุนัขยืนมากกว่า การใช้ยาซึมบางชนิดอาจส่งผลให้ IDT แสดงผลเป็นลบได้เช่น oxymorphone ketamine/diazepam acepromazine และ morphine จึงควรหลีกเลี่ยงเท่า แต่สามารถใช้ xylazine medetomidine (dexmedetomidine) tiletamine/zolazepam thiamylal halothane isoflurane และ methoxyflurane ได้อย่างปลอดภัย [6] การใช้ propofol ในการวางยาซึมเพื่อทดสอบ IDT ยังเป็นที่ถกเถียงจึงไม่แนะนำให้ใช้ นอกจากนี้การใช้ยาบางอย่างอาจส่งผลให้เกิดผลลบลวงจึงต้องมีการหยุดใช้ยาช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะทำ IDT ตามตารางที่ 4
| ชื่อยา/กลุ่มยา | IDT* |
ASIS*** |
| แอนตี้ฮิสตามีน | 7 วัน | อาจไม่จำเป็น |
| Glucocorticoid ที่ออกฤทธิ์สั้น | 14 วัน | ไม่จำเป็น |
| Glucocorticoid ที่ออกฤทธิ์นาน | < 28 วัน | < 28 วัน |
| Glucocorticoid ชนิดทาภายนอก | 14 วัน | ไม่จำเป็น |
| Cyclosporine | อาจไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
| Oclacitinib | อาจไม่จำเป็น | อาจไม่จำเป็น |
| Lokivetmab | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
| Pentoxyfilline | ไม่จำเป็น | ไม่จำเป็น |
ตำแหน่งของผิวหนังที่นิยมใช้เพื่อทำการทดสอบคือด้านข้างช่องอก ทำการโกนขนออกอย่างระมัดระวังโดยพื้นที่ทำการโกนขึ้นอยู่กับจำนวนสารก่อภูมิแพ้ที่ใช้ ไม่ควรทำการสครับหรือล้างบริเวณที่โกน ทำเครื่องหมายตำแหน่งที่ทำการฉีดสารแต่ละตำแหน่งด้วยปากกากันน้ำห่างกันอย่างน้อยตำแหน่งละ 2 เซนติเมตร ฉีดสารก่อภูมิแพ้ที่เตรียมไว้ปริมาณ 0.05 mL เข้าในชั้นผิวหนัง(intradermal)(รูป 3a) ผิวหนังควรมีลักษณะปูดนูนขึ้นมา หากไม่พบการนูนของผิวหนังอาจเกิดจากการฉีดเข้าชั้นใต้ผิวหนัง(subcutaneous) ให้ทำการฉีดซ้ำ
ทำการประเมินปฏิกิริยาที่เกิดขึ้น 15-20 นาทีหลังฉีด โดยดูการเกิด wheal และ erythema ในแต่ละตำแหน่งการฉีด เทียบกับตำแหน่งที่ตำแหน่งควบคุมผลลบและบวก(รูป 3b) ให้คะแนนแต่ละตำแหน่งจาก 0(เทียบเท่ากับตำแหน่งควบคุมผลลบ) จนถึง 4 (เทียบเท่าตำแหน่งควบคุมผลบวก) ปฏิกิริยาที่ได้ผลตั้งแต่ 2 ขึ้นไปถือว่าให้ผลเป็นบวก ถึงแม้ว่าจะสามารถวัดปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเป็นเซนติเมตรได้ แต่ไม่พบผลดีอย่างเด่นชัดจากวิธีนี้ [6] ผู้เขียนบทความนิยมประเมินผลที่ได้ด้วยสายตา
ปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการทดสอบพบได้ยาก หากพบมักจะเป็นช่วงระหว่างการทำการทดสอบซึ่งมักแสดงออกเป็นอาการคันอย่างรุนแรงบริเวณที่ทำการฉีด(ปฏิกิริยาภูมิไวเกินเฉพาะที่) สามารถบรรเทาอาการได้ด้วยการทายากลุ่มสเตียรอยด์เป็นช่วงสั้นๆ หรือการให้ยาลดการอักเสบหรืออาการคันเข้าทางระบบ การเกิด anaphylaxis(คันทั่วตัว อาเจียน ถ่ายเหลว หรือหมดสติ) พบได้ยากแต่ควรมีการจัดการรับมืออย่างเหมาะสม
* IDT: Intradermal testing
** PNU: Protein Nitrogen Units
*** ASIS: Allergen-specific IgE serology
หลังจากที่วินิจฉัยยืนยันแล้วว่าสุนัขป่วยด้วยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปี ขั้นตอนต่อไปคือการระบุสารก่อภูมิแพ้ที่กระตุ้นให้เกิดอาการ
สรุป
การวินิจฉัยโรคผิวหนังอักเสบภูมิแพ้อะโทปีสามารถทำได้โดยอาศัยข้อมูลจากการซักประวัติสัตว์ป่วย การตรวจร่างกายและการวินิจฉัยแยกแยะตัดโรคอื่นออก ไม่มีการทดสอบทางห้องปฏิบัติการที่สามารถวินิจฉัยอะโทปีได้ สัตวแพทย์จึงไม่ควรพึ่งพาผลจากห้องปฏิบัติการมากจนเกินไปเพื่อลดโอกาสการวินิจฉัยผิดพลาด การระบุสารก่อภูมิแพ้กรณีของอะโทปีเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการในระยะยาว เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่สัตว์ป่วย
Ana Rostaher
Vet.Med., Dip. ECVD
สมาพันธรัฐสวิส
Dr.Rostaher จบการศึกษาจากคณะสัตวแพทยศาสตร์ วิทยาลัยสโลวีน ในปี2002 และใช้เวลาในการทำงานดูแลสัตว์เลี้ยง 4 ปีจนสำเร็จการฝึกฝนในฐานะสัตวแพทย์ประจำที่ Vienna’s Veterinary College หลังจากนั้น เธอได้เข้าศึกษาเฉพาะทางโรคผิวหนังในมิวนิก และทำงานวิจัยในด้านความผิดปกติของรูขุมขนแมวระหว่างการฝึกงานนอกหลักสูตร เธอสำเร็จอนุปริญญาบัตรจาก ECVD ในปี 2011 และได้เข้าทำงานที่ Vetsuisse Veterinary Faculty ในฐานะสัตวแพทย์ชำนาญการ Dr.Rostaherได้ตีพิมพ์บทความมากกว่า 100 เรื่องซึ่งมีความหลากหลายในแง่มุมของโรคผิวหนัง และเป็นคณะกรรมการของทั้ง ESVD และ ECVD ปัจจุบัน เธอยังดำรงตำแหน่งประธานของกลุ่มการศึกษาโรคผิวหนังของสโลเวเนีย
แหล่งอ้างอิง
- Hillier A, Griffin CE. The ACVD task force on canine atopic dermatitis (I): incidence and prevalence. Vet Immunol Immunopathol 2001;81:147-151.
- Nuttall TJ, Marsella R, Rosenbaum MR, et al. Update on pathogenesis, diagnosis, and treatment of atopic dermatitis in dogs. J Am Vet Med Assoc 2019;254:1291-1300.
- Hill PB, Moriello KA, DeBoer DJ. Concentrations of total serum IgE, IgA, and IgG in atopic and parasitized dogs. Vet Immunol Immunopathol 1995;44:105-113.
- Rostaher A, Dolf G, Fischer NM, et al. Atopic dermatitis in a cohort of West Highland White Terriers in Switzerland. Part II: estimates of early life factors and heritability. Vet Dermatol 2020;31:276-e266.
- Favrot C, Steffan J, Seewald W, et al. A prospective study on the clinical features of chronic canine atopic dermatitis and its diagnosis. Vet Dermatol 2010;21:23-31.
- Hensel P, Santoro D, Favrot C, et al. Canine atopic dermatitis: detailed guidelines for diagnosis and allergen identification. BMC Vet Res 2015;11:196.
- Park S, Ohya F, Yamashita K, et al. Comparison of response to immunotherapy by intradermal skin test and antigen-specific IgE in canine atopy. J Vet Med Sci 2000;62:983-988.
- Ansotegui IJ, Melioli G, Canonica GW, et al. IgE allergy diagnostics and other relevant tests in allergy, a World Allergy Organization position paper. World Allergy Organ J 2020;13:100080.
- Marsella R. Hypersensitivity disorders. In: Miller HW, Griffin CE, Campbell KL, eds. Muller Kirks Small Animal Dermatology. 7th ed. St. Louis Missouri: Elsevier Mosby, 2013;363-431.
- Hillier A, DeBoer DJ. The ACVD task force on canine atopic dermatitis (XVII): intradermal testing. Vet Immunol Immunopathol 2001;81:289-304.
- Stedman K, Lee K, Hunter S, et al. Measurement of canine IgE using the alpha chain of the human high affinity IgE receptor. Vet Immunol Immunopathol 2001;78:349-355.
- Gedon NKY, Boehm T, Klinger CJ, et al. Agreement of serum allergen test results with unblocked and blocked IgE against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) and intradermal test results in atopic dogs. Vet Dermatol 2019;30:195-e161.
- Piccione ML, DeBoer DJ. Serum IgE against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) in healthy and atopic dogs. Vet Dermatol 2019;30:507-e153.
- Mohammaddavoodi A, Panakova L, Christian M, et al. Prevalance of immunoglobulin E against cross-reactive carbohydrate determinants (CCD) and impact of a blocker in seasonal allergy tests. Tierarztl Prax Ausg K Kleintiere Heimtiere 2020;48:404-409.
- Bousquet J, Heinzerling L, Bachert C, et al. Practical guide to skin prick tests in allergy to aeroallergens. Allergy 2012;67:18-24.
- Ballauf B. Vergleich von Intrakutan- und Pricktest in der Allergiediagnostik beim Hund. Tierrztl Prax 1991;19:428-430.
- Carnett MJH, Plant JD. Percutaneous prick test irritant threshold concentrations for eight allergens in healthy nonsedated dogs in the USA. Vet Dermatol 2018;29:117-e147.
- Carmona-Gil AM, Sanchez J, Maldonado-Estrada J. Evaluation of skin prick-test Reactions for allergic sensitization in dogs with clinical symptoms compatible with atopic dermatitis; a pilot study. Front Vet Sci 2019;6;448.
- Rostaher A, Mueller R, Meile L, et al. Venom immunotherapy for hymenoptera allergy in a Dog. Vet Dermatol 2021;32(2):206-e52.
- Coyner K, Schick A. Hair and saliva test fails to identify allergies in dogs. J Small Anim Pract 2019;60:121-125.
- Lam ATH, Johnson LN, Heinze CR. Assessment of the clinical accuracy of serum and saliva assays for identification of adverse food reaction in dogs without clinical signs of disease. J Am Vet Med Assoc 2019;255:812-816.
- Vovk LU, Watson A, Dodds WJ, et al. Testing for food-specific antibodies in saliva and blood of food allergic and healthy dogs. Vet J 2019;249:89-89.